ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society )ไปแล้วในปี 2566 จากจำนวนผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 13 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนผู้สูงอายุ 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
แต่ปรากฏการณ์ที่ตามมาจาก “สังคมผู้สูงอายุ” คือ การเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหลักยังคงเป็น “ผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง” ในปี 2566 มีจำนวน 1,348,397 คน คิดเป็นสัดส่วน 10.32% ของผู้สงอายุทั้งหมดในประเทศไทย
สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากปี 2563 ซึ่งมีสัดส่วน 7.3% ของผู้สูงอายุทั้งหมด อีกกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทย คือ “ผู้สูงอายุที่ดูแลกันเอง” หรืออยู่ในครัวเรือนที่มีเพียงผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นสามีภรรยาผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีสัดส่วนการเสียชีวิตโดยลำพังเพิ่มเช่นกัน โดยจากปี 2566 มีจำนวน610,405 คนคิดเป็น 4.67% ของผู้สูงอายุทั้งหมด
กลุ่มผู้สูงอายุที่ดูแลกันเอง หากมีผู้สูงอายุในบ้านเสียชีวิตไปจนเหลือคนสุดท้าย คนที่เหลือจะเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยโดยลำพัง ซึ่งหมายความว่า ปลายทางของผู้สูงอายุ “กลุ่มที่ดูแลกันเอง”จำนวนหนึ่งมีแนวโน้มจะเสียชีวิตโดยลำพัง
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้แนวโน้มผู้สูงอายุที่เสียชีวิตโดยลำพังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกที่มีแนวโน้มการอยู่ตามลำพัง ทั้ง ยุโรป อเมริกา และเอเชีย กำลังเผชิญกับปัญหาการเสียชีวิตอย่างโดดเดียว ทั้งใน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์
เอเชีย “ผู้สูงอายุตายลำพัง”พุ่งขึ้น
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก อันดับต้นๆของโลก โดยเป็นสังคมผู้สูงอายุในระดับที่เรียกว่า “Super Aged” และมีผู้สูงอายุที่เสียชีวิตโดยลำพังสูงสุดในเอเชีย คิดเป็น 30%ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 35 ล้านคน และในจำนวนนี้มีผู้ที่อยู่อาศัยตามลำพังประมาณ 18 ล้านคน แต่เกิดปรากฏการณ์ผู้สูงอายุเสียชีวิตอย่างโดดเดียวปีละจำนวนมากต่อเนื่องมาหลายปี เรียกว่า “โคะโตตะกุชิ”
เกาหลีใต้ กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 13 % ของประชากร มีครัวเรือนที่อยู่ตามลำพังประมาณ 7.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 35 %ของครัวเรือนทั้งหมด 21 ล้านครัวเรือน มีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวมีจำนวน 1.2 ล้านครัวดเรือน จากจำนวนผู้สูงอายุทั้งสิ้น 3.7 ล้านครัวเรือน ซึ่งเรียกว่า “โกด็อกซา”
สิงคโปร์ มีจำนวนครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุตามลำพัง 42,000 ครัวเรือนในปี 2558 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 83,000 ครัวเรือนในอีก 15 ปีข้างหน้า สัดส่วนผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังของสิงคโปร์คิดเป็น 30% ของครัวเรือนที่อยู่คนเดียวทั้งหมด 1.6 แสนครัวเรือน
ขณะที่ประเทศไทย มีผู้สูงอายุที่อาศัยตามลำพังที่มีสัดส่วน 10.32 % ของผู้สูงอ่ยุทั้งหมดของไทย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไทยยังไม่มีนโยบาย “ดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง”
สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) บอกว่า ไทยก้าวเข้าสู่งสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ในหลายจังหวัดเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับ Super Aged มีผู้สูงอายุสูงถึง 28% ขณะที่ผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบหรือนโยบายที่จะเข้ามารองรับปัญหาเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน
“เราผลักดันระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และการสร้างสุขในช่วงปลายทาง จัดทำ “Living Will” การยุติการทรมารจากความเจ็บป่วยโดยทำงานในด้านนี้มานานกว่า 10 ปี ซึ่งการที่ผู้สูงอายุอยู่โดยลำพัง และมีโอกาสที่จะเสียชีวิตอย่างโดดเดียวเพิ่มมากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันในเรื่องของ“Living Will” แต่เรายังไม่มีระบบเพื่อรองรับการเสียชีวิตอย่างโดดเดียวจึงเห็นว่าควรจะมีนโยบาย และการพัฒนาระบบเพื่อรองรับในเรื่องนี้ ขณะที่สถานการณ์ผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังเพิ่มสูงขึ้น”
การผลักดันนโยบายพัฒนาระบบเพื่อรองรับการเสียชีวิตอย่างโดดเดียวมีที่มาจาก พระราชบัญญัติสุขภาแห่งชาติ 2550 มาตรา 12 กล่าวถึง สิทธิของผู้ป่วยในการแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยภาวะอันเกิดจากการบาดเจ็บ หรือ โรคที่ไม่อาจรักษาหายได้ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความทุกข์ทรมาน จนนำไปสู่การตายอย่างสงบตามธรรมชาติ หรือ ที่เรียกว่า “ตายดี”
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงได้ศึกษาวิจัยสถานการณ์การเสียชีวิตโดดเดียวของสังคมไทย เพื่อตรียมความพร้อมประชากรเพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม เช่นการส่งเสริมการออม การสร้างเสริมอาชีพ และการสร้างเสริมสุขภาวะ
เสนอ 9 นโยบาย ดูแลผู้สูงอายุอาศัยลำพัง
เมื่อไม่นานมานี้ สช. ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น ต่อผลการศึกษา กลไกและแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายรองรับประชากรกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุที่จะ”เสียชีวิตอย่างโดดเดียว” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์ มหาวิทยาลัยมหิดล และทีมวิจัย ได้เสนอ 9 ข้อเสนอเชิงนโยบาย และ 22 มาตรการประกอบด้วย
- การพัฒนาระบบเฝ้าระวังทางสังคม โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลัก โดยมี 6 มาตรการในการดูแล อาทิ มาตรการส่งเสริมการมีส่วนร่วมชุมชนในการเฝ้าระวังดูแลผู้สูงอายุ ,มาตรการส่งเสริมการเทคโนโลยีเฝ่าระวังกลถ่มเสี่ยง และ มาตรการส่งเสริมการทำงานแบบบูรณาการด้านผู้สูงอายุ
- นโยบาย พัฒนาระบบคัดกรองและประเมินความเสี่ยงสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยลำพังทีมีประสิทธิภาพ โดยมี มาตรการในการดำเนินการ อาทิ. พัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงานและอาสาสมัครกลุ่มต่างๆ , ถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลให้แล้วเสร็จ และ ขับเคลื่อนมาตรการ การพัฒนาสังคมและความมั่นคงในกลุ่มผู้สูงอายุ
- นโยบาย การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะระบบการดูแลระยะยาว ( Long Term Care ) และ ระบบชีวาภิบาล ให้มีประสิทธิภาพ โดยดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้ การขับเคลื่อนระบบการดูแลระยะยาวและระบบชีวาภิบาลเพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ ,ขยายระบบชีวาภิบาลในการดูแลผู้สูงอายุเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยลำพัง และ พัฒนาระบบการร่วมจ่ายในการดูแลผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพัง
- นโยบาย พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุที่อาศัยโดยลำพัง โดยจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุที่อาศัยโดยลำพังเพื่อการบูรณาการ การทำงาน
- นโยบายการปฏิบัติด้านสิทธิในการแสดงเจตนาจำนงค์เกี่ยวกับการตายของผู้ป่วยระยะสุดท้าย Living Will
- การพัฒนาความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการสถานการณ์การเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยต้องมี การผลักดันมาตรการ ใช้ประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนอื่นๆ ,ควบคุมและกำกับมาตรฐานการให้บริการสุขภาพ ,การจ่ายเบี้ยยังชีพกลุ่มผู้สูงอายุที่ยากจนให้ครบถ้วน
- การสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันการเสียชีวิตของผู้สูงอายุแบบฉับพลัน เช่นมาตรการ ส่งเสริมการวางแผนชีวิตก่อนวัยเกษียณ
- การส่งเสริมให้มีธุรกิจเกี่ยวกับการจัดการความตาย
- การรปับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตอย่างโดดเดียว
สุทธิพงษ์ บอกว่า จะนำเสนอทางนโยบายในเวทีการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในปลายเดือน พ.ย 68 นี้ หากที่ประชุมสมัชชาเห็นชอบจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อผลักดันเป็นนโยบายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- เหตุผลต้องสร้างเศรษฐกิจผู้สูงวัย เพราะสังคมสูงวัยระดับสุดยอดของไทย “น่ากลัว”
- การขยายอายุเกษียณ: โจทย์ที่ซับซ้อนกว่าตัวเลข
- ส่องนโยบาย ‘สถานชีวาภิบาล’ ผ่านมาแล้ว 2 ปี ก้าวหน้าแค่ไหน