สถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทยในภาพรวม ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดลดลง จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2566 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 20 % ของประชากรทั้งหมด
คาดว่าสังคมไทยจะเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ที่มีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28 % ในปี 2576
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจำนวนผู้สูงอายุ ตามแนวคิด active aging พบว่าในปี 2564 มีผู้สูงอายุ กลุ่มที่สุขภาพดี และดูตนเองได้ 30.4 % หรือ 2.03 ล้านคน ผู้สูงอายุกลุ่มที่สุขภาพดี แต่ต้องได้รับการพัฒนา ศักยภาพ 65.2 % หรือ 4.37 ล้านคน และผู้สูงอายุกลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 4.3 % หรือ 0.29 ล้านคนของผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
ผู้สูงอายุทุกกลุ่มมากกว่า 1.9 ล้านคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมา คือภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้
ผู้สูงอายุ ยังพึ่งพิงรายได้จากลูกหลาน
ปัจจุบันผู้สูงอายุได้มีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงาน โดยมีผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานอยู่ ประมาณ 5.11 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 37.5 % ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมดกว่า 14 ล้านคน ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ 86.8 % สะท้อนถึงการที่ผู้สูงอายุ ขาดความมั่นคงในการทำงานและรายได้ที่ไม่แน่นอน รวมถึงสิทธิและสวัสดิการที่น้อยกว่าแรงงานในระบบ
แรงงานสูงอายุนอกระบบ 62.7 % ยังคงต้องทำงานด้วยเหตุผลความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และ 88.5 %การไม่มีหลักประกันทางสังคมหรือความคุ้มครองในการทำงาน รวมถึงยังประสบปัญหาเรื่องค่าตอบแทน ความต่อเนื่องของงาน จำนวนชั่วโมงทำงานมากเกินไ สภาพแวดล้อม ความปลอดภัย การคุ้มครองและสวัสดิการแรงงาน
สำหรับประเด็นทางด้านรายได้ของผู้สูงอายุ พบว่ารายได้ส่วนหนึ่งมาจากการทำงาน โดยเมื่อพิจารณาด้านรายได้ของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุที่ทำงานอยู่จะมีรายได้เฉลี่ย 12,151 บาทต่อเดือน
กลุ่มที่ประกอบอาชีพในภาคการบริการและการค้าจะมีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดที่ 13,848 บาท รองลงมาคือภาคการผลิต 12,555 บาท และภาคเกษตรกรรม 5,796 บาท
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2567 พบว่า ผู้สูงอายุส่วนมากพึ่งพิงแหล่งรายได้ที่มาจากเงินสนับสนุนของบุตรหลานมากที่สุด คิดเป็น 35.7 % ขณะที่รายได้หลักจากการทำงานมีเพียง 33.9 % และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ 13.3 % ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรการรองรับ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางรายได้ของผู้สูงอายุในระยะยาว
การที่ผู้สูงอายุไทยต้องพึ่งพิงรายได้จากลูกหลาน เป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยมีลักษณะของผู้สูงอายุที่ “แก่ก่อนรวย” สะท้อนให้เห็นว่า ผู้สูงอายุส่วนมากมีเงินเก็บออมไม่เพียงพอ และต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นในระยะยาว
เงินออมและหนี้สินของผู้สูงอายุ
ในปี 2567 มีผู้สูงอายุเกือบครึ่งไม่มีเงินออม 6.2 ล้านคน หรือ 44.3 % ของผู้สูงอายุทั้งหมดขณะที่ผู้ที่มีเงินออมส่วนมากก็มีเงินออมต่ำกว่า 7 หมื่นบาท จำนวน 4.2 ล้านคน หรือ 54.2 %ของประชากรสูงอายุที่มีเงินออม
ขณะที่สถานการณ์หนี้สินของผู้สูงอายุและ ครัวเรือน พบว่า ผู้สูงอายุระบุว่าไม่มีหนี้ 8.2 ล้านคน หรือ 58.4 % ขณะที่เหลือเกือบครึ่งระบุว่าตนเองหรือ สมาชิกครอบครัวมีหนี้
ความต้องการบริโภคสินค้าและบริการในผู้สูงอายุ
จากการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้ม ด้านการบริโภคของผู้สูงอายุของ TDRI พบว่า ในปี 2566 การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของผู้สูงอายุมีมูลค่ารวม ประมาณ 2.18 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.50 ล้านล้านบาทในปี 2576 โดยพบค่าใช้จ่าย สูงสุดคือค่าใช้จ่ายภายในบ้าน/ที่อยู่อาศัย รองลงมาคืออาหาร ยานพาหนะ และการเดินทางท่องเที่ยว ตามลำดับ
ทั้งนี้ การเติบโตของประชากรสูงวัย ทำให้เกิดโอกาสในทางธุรกิจหลายด้าน โดยเฉพาะสินค้าและบริการที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ
สินค้าและบริการที่มีศักยภาพและเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ใน 5 ด้าน
- ด้านที่อยู่อาศัย ทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เช่น การบริการเรียกซ่อมบ้านตามหลัก Universal Design และการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกัน (community-based development
- ด้านอาหาร อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารเคี้ยวง่ายและอาหาร กลุ่มเฉพาะโรค
- ด้านสุขภาพ อาทิ การบริการผู้ดูแล (caregiver) ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เพื่อสุขภาพ นวัตกรรม ทางสุขภาพ และการบริการดูแลและวางแผนในช่วงสุดท้ายของชีวิต (end of life)
- ด้านนันทนาการ อาทิ platform entertainment ในการรวมกลุ่มทำกิจกรรมและแบ่งปันความรู้ การบริการรถรับ-ส่งในการเดินทาง การบริการทัวร์ท่องเที่ยว
- ด้านการเงิน อาทิ ธุรกิจให้คeปรึกษาด้านการบริหารจัดการการเงิน ธุรกิจ ประกันชีวิต ธุรกิจประกันภัย
นอกจากนี้ จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2567) ระบุว่าสินค้าและบริการ 2 กลุ่มที่น่าจะมีความสำคัญเป็นอย่างมากในเศรษฐกิจสูงวัย ได้แก่ กลุ่มสุขภาพ อาทิ อาหารฟังก์ชัน ,อาหารทางการแพทย์ Health Tech ยา และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ศูนย์โรคเฉพาะทาง บริการดูแลผู้สูงอายุ และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกลุ่มไลฟ์สไตล์ อาทิ อุปกรณ์ช่วยเหลือในชีวิตประจ าวัน อาหารและอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ที่อยู่อาศัย สำหรับผู้สูงอายุ บริการดูแลสัตว์เลี้ยง บริการทางการเงิน และ Entertainment
ข้อเสนอสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ผู้สูงอายุ พบว่าการสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุให้คงอยู่ในตลาดแรงงานและมีรายได้เพียงพอจะช่วยทำให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตที่มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์และมีคุณภาพชีวิตมากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช) จึงได้เสนอเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงวัย ดังนี้
ปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับ การทำงานของผู้สูงอายุ
เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ.2533 เช่น
- สนับสนุนให้เกิดการขยายอายุเกษียณและการคงอยู่ในตลาดงานของผู้สูงอายุ
- ปรับเงื่อนไขและสร้างแรงจูงใจที่ช่วยส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานรัฐ และ ภาคเอกชน มีการจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
- กำหนดมาตรฐานการจ้างหลังเกษียณ (Re-employment) ที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับผู้สูงอายุ
การสนับสนุนแนวคิดอาชีพที่สอง (second job)
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุสามารถ ประกอบอาชีพหลังเกษียณ
- ส่งเสริมการฝึกอบรม reskill/upskill ในทักษะที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น การฝึกอบรมการผลิตสินค้าและการให้บริการด้านสุขภาพ การฝึกอาชีพบาริสตา
- สร้างอาชีพจากความเชี่ยวชาญและภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ เช่น การเป็นที่ปรึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน มัคคุเทศก์ท้องถิ่น การสอนศิลปหัตถกรรมไทยเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาให้คนรุ่นใหม่
การพัฒนาระบบสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเข้าถึงตลาดงานและช่องทางการสร้างรายได้
- พัฒนาแพลตฟอร์มกลางในการจับคู่งานสำหรับผู้สูงอายุ ผ่านการสร้างระบบนิเวศการทำงานครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพ การพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะ (reskill/upskill) การจัดหางานที่ เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของผู้สูงอายุ ตลอดจนการสร้างกลไกสนับสนุนการทำงานเพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงตลาดงาน และสามารถพัฒนาเป็นกำลังแรงงานได้ตลอดช่วงชีวิต
- สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและระบบสนับสนุนที่จำเป็นหรับการเริ่มต้นธุรกิจ
- ส่งเสริมการรวมกลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน 29
- จัดหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ เช่น ตลาดนัดผู้สูงอายุ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือ เชื่อมโยงกับธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยว หัตถกรรมพื้นบ้าน และอาหารพื้นเมือง
การผลิตสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าและบริการที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ
- พัฒนากลไกที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs/SE/Startups เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างคล่องตัว
- ส่งเสริมให้สถาบันทางการเงินและหน่วยบ่มเพาะธุรกิจมีการสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ช่วงเริ่มต้นธุรกิจจนถึงระยะขยายตัว
- ขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและ บริการสำหรับผู้สูงอายุ ตลอดจน
- สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการสามารถสร้างนวัตกรรมในราคาที่เข้าถึงได้
การลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงสินค้าและบริการของผู้สูงอายุ
- ควบคุมราคา สินค้าและบริการที่จำเป็น อาทิ ยา เวชภัณฑ์ บริการดูแลผู้สูงอายุ
- พัฒนานวัตกรรมทางสังคมที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่จ าเป็นได้ อาทิ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของ กลไกธนาคารเวลาให้ผู้สูงอายุสามารถนำเวลาจากกิจกรรมจิตอาสาที่สะสมไว้มาใช้แลกเป็นสินค้าและบริการได้
การสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ
การสนับสนุนให้หน่วยงานท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ
- ปรับแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการงบประมาณ การจ้างบุคลากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่
- เปิดโอกาสให้ อปท. สนับสนุนงบประมาณโดยตรงแก่ภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจที่ด าเนินโครงการเพื่อผู้สูงอายุ
การยกระดับคุณภาพมาตรฐานและศักยภาพของทีมบริการ/ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
- สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจเพื่อสังคมและภาคเอกชนให้มีเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทีมบริการและดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
- ส่งเสริมให้อาสาสมัครในพื้นที่ หรือผู้ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว มีความรู้และสามารถนำมาพัฒนาเป็นอาชีพได้ (healthcare in family)
- ยกระดับมาตรฐานการฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นระบบโดยอาจพัฒนาเป็นระบบการสะสมเครดิตชั่วโมงการฝึกอบรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่มีหลักสูตรอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ และการปรับปรุงมาตรการในการก าหนดค่าตอบแทนผู้ดูแลผู้สูงอายุให้เหมาะสม
การสื่อสารเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนในเศรษฐกิจสูงวัย
การยกระดับการสื่อสารจากการ “สร้างความตระหนัก” ไปสู่การ “สร้างการขับเคลื่อน” ทางเศรษฐกิจ สร้างการรับรู้ให้ผู้สูงอายุตระหนักว่าตนเป็น “วัยที่มีพลังและศักยภาพ” สามารถเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยมุ่งไปที่
- จัดทำฐานข้อมูลที่ครอบคลุมสินค้าและบริการ สำหรับผู้สูงอายุ และพัฒนาเป็น แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงระหว่าง ผู้ผลิตกับผู้บริโภคโดยตรง
- พัฒนามาตรฐานและควบคุมสื่อโฆษณา เพื่อป้องกันการให้เข้าข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่เป็นจริง พร้อมทั้งพัฒนากลไกป้องกันมิจฉาชีพที่หลอกลวงผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช) จัดรับฟังความคิดเห็นเวทีรับฟังความเห็นระดับชาติ ประเด็นการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (Creating opportunity for Silver Economy) เมื่อ 25 ก.ย. 68 เพื่อเสนอวาระในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ที่จะจัดในเดือน พ.ย. 68 ภายใต้ธีมหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: