สำนักงานประกันสังคมกำลังปฏิรูปโครงสร้างระบบครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนและเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน เริ่มจากประกาศปรับเพิ่มเพดานเงินสมทบประกันสังคมทยอยเป็นขั้นบันไดสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 เริ่มตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป และล่าสุดเตรียมปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพใหม่
ปัจจุบัน การจ่ายเงินบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตน จะใช้สูตรคำนวณตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. 2550 ของกระทรวงแรงงาน โดยให้ใช้ตัวเลขเฉลี่ยค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้ายก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบและคิดออกมาเป็นเงินบำนาญชราภาพ
แม้จะมีความสะดวกในการคำนวณ แต่กลับสร้างความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกันตนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีค่าจ้างลดลงก่อนเกษียณ ผู้ที่เปลี่ยนสถานะเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 หรือผู้ที่มีค่าจ้างสูงมาตลอดแต่ได้บำนาญเท่ากับผู้ที่มีค่าจ้างสูงเฉพาะช่วงท้าย อีกทั้งยังเปิดช่องให้มีการเอาเปรียบระบบได้
คณะกรรมการประกันสังคม เมื่อ 29 ก.ค. 68 มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับสูตรคำนวณค่าจ้างเฉลี่ยสำหรับการคำนวณเงินบำนาญชราภาพ โดยใช้ระบบ CARE (Career-Average Revalued Earnings) นำค่าจ้างเฉลี่ยตลอดช่วงเวลาที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบมาปรับเป็นมูลค่าปัจจุบันก่อนเฉลี่ย และปรับค่าตามคะแนนบำนาญชราภาพ (Pension Point) เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกันตนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
สำนักงานประกันสังคม จึงเริ่มเปิดรับฟังความเห็นจากผู้ประกันตนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงการปรับสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ผ่านทางออนไลน์ระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 – 17 ต.ค. 68 และจะเปิดรับฟังความคิดเห็น 10 ต.ค.นี้
จำนวนผู้ประกันตนทั่วประเทศล่าสุด ณ สิ้นเดือน ส.ค. 68 มีจำนวน 24.81 ล้านราย แบ่งเป็น มาตรา 33 จำนวน 12.14 ล้านราย และ มาตรา 39 จำนวน 1.64 ล้านราย และ ม.40 จำนวน 11.01 ล้านราย
เปิดสูตร CARE บำนาญชราภาพใหม่
ขั้นตอนการปรับสูตรการคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ประกอบด้วยดังนี้
1.ปรับวิธีการคำนวณเงินบำเหน็จชราภาพสำหรับผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ปัจจุบันจะจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินสมทบของผู้ประกันตน ข้อเสนอใหม่จะจ่ายเท่ากับจำนวนเงินสมทบของผู้ประกันตนและของนายจ้างพร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งคำนวณเหมือนกับผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 12 เดือนขึ้นไป
2.ปรับวิธีการคำนวณอัตราบำนาญสำหรับการคำนวณบำนาญชราภาพในกรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน โดยปัจจุบันมีการปรับเพิ่มอัตราบำนาญในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 200 เดือน จะได้รับอัตราบำนาญพื้นฐานร้อยละ 20 สำหรับ 180 เดือนแรก ส่วนอีก 20 เดือนที่เหลือ ในทุก ๆ 12 เดือน จะได้รับอัตราบำนาญเพิ่มอีกร้อยละ 1.5
ดังนั้น จะเหลือเศษของเดือน (20-12) อีก 8 เดือน ซึ่งจะไม่นำมาคำนวณเป็นอัตราบำนาญที่เพิ่มให้ ซึ่งผู้ประกันตนรายนี้จึงได้รับอัตราบำนาญเท่ากับ (20 + 1.5) ร้อยละ 21.5
ข้อเสนอใหม่จะปรับเพิ่มอัตราบำนาญตามเดือนที่ส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.125 ต่อเดือน (ไม่ตัดเศษเดือนทิ้ง) ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 200 เดือน จะได้รับอัตราบำนาญพื้นฐานร้อยละ 20 สำหรับ 180 เดือนแรก ส่วนอีก 20 เดือนที่เหลือ ให้คำนวณอัตราบำนาญโดยนำ 20 (เดือน) x 0.125 (1 ใน 12 เดือน ของ 1.5) จะได้เท่ากับร้อยละ 2.5
ดังนั้น ผู้ประกันตนรายนี้จะได้รับอัตราบำนาญเท่ากับ (20 + 2.5) ร้อยละ 22.5
3.ปรับวิธีคำนวณฐานค่าจ้างสำหรับคำนวณเงินบำนาญ ปัจจุบันคำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเงินสมทบ ข้อเสนอใหม่คำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ยทุกเดือนที่ส่งเงินสมทบ โดยปรับค่าจ้างในอดีตทุกเดือนเป็นค่าเงินปัจจุบันก่อนมาเฉลี่ย (Career Average Revalue Earnings: CARE)
4.การชดเชยให้กับผู้ที่กำลังจะเริ่มรับบำนาญช่วง 1-5 ปีแรก และผู้ที่ได้รับบำนาญอยู่แล้ว หลังสูตรการคำนวณใหม่มีผล ดังนี้
ผู้ที่กำลังจะเริ่มรับบำนาญและพบว่าได้รับบำนาญลดลง กำหนดช่วงเปลี่ยนผ่านระยะ 5 ปี โดย
- ผู้ที่เกษียณภายในปีแรกหลังปรับสูตรบำนาญ หากสูตรใหม่ได้น้อยกว่าสูตรเก่า ให้ชดเชยส่วนต่าง 100%
- ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 ชดเชย 80%
- ผู้ที่เกษียณปีที่ 3 ชดเชย 60%
- ผู้ที่เกษียณปีที่ 4 ชดเชย 40%
- ผู้ที่เกษียณปีที่ 5 ชดเชย 20%
- ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ที่เกษียณปีที่ 2 หลังออกกฎหมาย หากคำนวณสูตรเดิมได้ 5,000 บาท แต่สูตรใหม่ได้ 4,000 บาท (ลดลง 1,000 บาท) จะได้ชดเชย 800 บาท รวมได้บำนาญ 4,800 บาท
ผู้ที่รับบำนาญอยู่แล้ว หากคำนวณบำนาญสูตรใหม่แล้วได้เพิ่มขึ้น ก็จะให้ปรับเพิ่มบำนาญตามสูตรใหม่ในเดือนถัดไป และไม่มีการชดเชยย้อนหลังในเดือนที่ได้รับบำนาญไปแล้ว
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถทดลองคำนวณบำนาญโดยการกรอกข้อมูลเองได้ที่ https://sso.thaith.ai/care/
เปิดฟังความเห็นช่องทางไหนบ้าง
บุปผา เรืองสุด เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้านและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สำนักงานประกันสังคมจึงกำหนดจัดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 เกี่ยวกับการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพ ระหว่างวันที่ 1–17 ต.ค. 68 ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่
- ระบบกลางกฎหมาย www.law.go.th
- แอปพลิเคชัน Line Official Account ของสำนักงานประกันสังคม
- การแสดงความคิดเห็น ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
- การประชุมเสวนาในหัวข้อ “ทำไมต้องเป็นบำนาญสูตร CARE” ในวันที่ 10 ต.ค. 68 ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก โดยผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมการประชุมสามารถลงทะเบียนผ่าน QR Code ที่สำนักงานประกันสังคมจัดเตรียมไว้
ตัวอย่างการคำนวณบำนาญสูตร CARE
ตัวอย่างการคำนวณรวมสมมติฐานดังต่อไปนี้
- กฎหมายเริ่มใช้ ม.ค. 69 และกำหนดช่วงเปลี่ยนผ่าน มีการชดเชยหากบำนาญสูตร CARE น้อยกว่าสูตรเก่าเป็นระยะเวลา 5 ปี ถึงธ.ค. 73
- เพดานค่าจ้างปรับเพิ่มเป็น 17,500 บาทตั้งแต่ ม.ค. 69 และปรับเป็น 20,000 บาท ตั้งแต่ ม.ค. 72 และปรับเป็น 23,000 บาท ตั้งแต่ ม.ค. 75
ตัวอย่างที่ 1 ผู้รับบำนาญอยู่ และได้ปรับเพิ่ม
ประวัติผู้ประกันตน: ผู้ประกันมาตรา 33 ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธันวาคม 2451 ค่าจ้างเริ่มต้น 5,000 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% จนถึง ธ.ค. 63 หลังจากนั้นเปลี่ยนมาส่งมาตรา 39 จนถึง เดือน ก.ย. 68 รวมส่งเงินสมทบ 321 งวด รับบำนาญอยู่เดือนละ 1,902 บาท
แนวทางการคำนวณ: เป็นผู้ที่รับบำนาญอยู่ จึงต้องคำนวณบำนาญสูตร CARE เปรียบเทียบให้ อัตราบำนาญ 37.625% ฐานค่าจ้าง 9,544 บาท ได้บำนาญเดือนละ 3,591 บาท โดยบำนาญที่จะได้รับ คือ ปรับเพิ่มบำนาญตั้งแต่เดือนถัดไป เป็นเดือนละ 3,591 บาท
ตัวอย่างที่ 2 ผู้รับบำนาญอยู่ และได้เท่าเดิม
ประวัติผู้ประกันตน: ผู้ประกันมาตรา 33 ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธ.ค. 51 ค่าจ้างเริ่มต้น 4,000 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% จนถึง ธ.ค. 61 ค่าจ้าง 8,209 บาท หลังจากนั้นตั้งแต่ ม.ค.62 – ธ.ค. 66 ค่าจ้างเพิ่มเป็น 15,000 บาทในช่วง 60 เดือนสุดท้าย ส่งเงินสมทบรวม 301 งวด รับบำนาญอยู่เดือนละ 5,250 บาท
แนวทางการคำนวณ: เป็นผู้ที่รับบำนาญอยู่ จึงต้องคำนวณบำนาญสูตร CARE เปรียบเทียบให้อัตราบำนาญ 35.125% ฐานค่าจ้าง 9,549 บาท ได้บำนาญเดือนละ 3,354 บาท โดยบำนาญที่ได้รับ คือ เนื่องจากเป็นผู้รับบำนาญอยู่ จึงจ่ายบำนาญตามเดิมที่มากกว่า เดือนละ 5,250 บาท
ตัวอย่างที่ 3 ผู้เกิดสิทธิในช่วงเปลี่ยนผ่าน และสูตร CARE จ่ายสูงขึ้น
ประวัติผู้ประกันตน: ผู้ประกันมาตรา 33 ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธ.ค. 51 ค่าจ้างสมทบสูงสุดติดเพดานค่าจ้างทุกเดือนจนถึงก.ค. 69 รวมส่งเงินสมทบ 331 งวด
แนวทางการคำนวณ: เป็นผู้ที่จะรับบำนาญในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องคำนวณบำนาญทั้งสูตร CARE และสูตรเก่าเทียบกัน
- บำนาญสูตรเดิม: อัตราบำนาญ 38% ฐานค่าจ้าง 15,250 บาท ได้บำนาญเดือนละ 5,795 บาท
- บำนาญสูตรใหม่ CARE: อัตราบำนาญ 38.875% ฐานค่าจ้าง 15,250 บาท ได้บำนาญเดือนละ 5,928 บาท
- บำนาญที่ได้รับ: สูตรใหม่ได้สูงกว่า จึงได้รับบำนาญเดือนละ 5,928 บาท
ตัวอย่างที่ 4 ผู้เกิดสิทธิในช่วงเปลี่ยนผ่าน และได้รับการชดเชย
ประวัติผู้ประกันตน: ผู้ประกันมาตรา 33 ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธ.ค. 51 ค่าจ้างเริ่มต้น 6,500 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% โดยจะเกษียณอายุ ธ.ค. 2570 รวมส่งเงินสมทบ 348 งวด
แนวทางการคำนวณ: เป็นผู้ที่จะรับบำนาญในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องคำนวณบำนาญทั้งสูตร CARE และสูตรเก่าเทียบกัน
- บำนาญสูตรเดิม: อัตราบำนาญ 41% ฐานค่าจ้าง 15,942 บาท ได้บำนาญเดือนละ 6,536 บาท
- บำนาญสูตรใหม่ CARE: อัตราบำนาญ 41% ฐานค่าจ้าง 14,974 บาท ได้บำนาญเดือนละ 6,139 บาท
- บำนาญที่ได้รับ: ได้รับการชดเชย 80% ของบำนาญที่ลดลง รวมได้บำนาญ 6,139 + 80% x (6,536 – 6,139) = 6,457 บาทต่อเดือน
ตัวอย่างที่ 5 ผู้เกิดสิทธิหลังช่วงเปลี่ยนผ่าน
ประวัติผู้ประกันตน: ผู้ประกันมาตรา 33 ส่งเงินสมทบต่อเนื่องตั้งแต่ ธันวาคม 2451 ค่าจ้างเริ่มต้น 6,500 บาท และปรับเพิ่มเดือนละ 0.3% โดยจะเกษียณอายุ มกราคม 2574 รวมส่งเงินสมทบ 385 งวด
แนวทางการคำนวณ: พ้นช่วงเปลี่ยนผ่าน คำนวณบำนาญตามสูตร CARE เพียงวิธีเดียว โดยบำนาญที่ได้รับ คือ อัตราบำนาญ 45.625% ฐานค่าจ้าง 17,354 บาท ได้บำนาญเดือนละ 7,918 บาท
คำถามที่พบบ่อยสูตรบำนาญ CARE
สูตรบำนาญใหม่ (CARE) ต่างจากสูตรเดิมอย่างไร?
คำตอบ: บำนาญยังคงคิดจาก อัตราบำนาญ x ฐานค่าจ้าง แต่วิธีคิดทั้งสองส่วนเปลี่ยนไป
- สูตรเดิมอัตราบำนาญ 20% + 1.5% ต่อปีที่สมทบมากกว่า 15 ปี (ไม่คิดเศษเดือน) แต่สูตร CARE ปรับเพิ่มอัตราบำนาญให้ทุกเดือนที่สมทบเพิ่ม เดือนละ 0.125%
- สูตรเดิมคำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ในขณะที่ สูตร CARE คำนวณฐานค่าจ้างเฉลี่ยตลอดการส่งเงินสมทบ (โดยปรับเป็นค่าเงินปัจจุบัน)
การปรับฐานค่าจ้างที่นำส่งในอดีตให้เป็นค่าเงินปัจจุบันทำอย่างไร?
คำตอบ: ใช้แต้มบำนาญ (Pension Points) โดยมี 3 ชั้นตอน ดังนี้
- ในแต่ละเดือนที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบ จะได้แต้มเท่ากับ ค่าจ้างที่นำส่งเงินสมทบ หารด้วย ค่าจ้างเฉลี่ยของระบบในเดือนนั้น (เช่น ค่าจ้างสมทบ 11,000 บาท ค่าจ้างเฉลี่ยระบบ 10,000 บาท จะได้ 1.1 คะแนน)
- คำนวณแต้มทุกเดือนที่ส่งเงินสมทบ บวกกัน แล้วหารด้วยจำนวนเดือนทั้งหมด
- ปรับแต้มเฉลี่ยกลับเป็นฐานค่าจ้าง โดยคูณด้วย ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายของระบบ คำนวณ ณ วันที่เกิดสิทธิรับบำนาญ ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ต้องไม่เกินเพดานค่าจ้างตามกฎหมายเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ค่าจ้างเฉลี่ยของระบบคืออะไร?
คำตอบ: ในแต่ละเดือน สำนักงานประกันสังคมจะประกาศค่าจ้างเฉลี่ย คำนวณจากสถิติค่าจ้างของผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกคนที่นำส่งเงินสมทบในเดือนนั้น
ผู้รับบำนาญอยู่แล้ว จะได้รับผลกระทบอย่างไร?
คำตอบ: เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงานประกันสังคมจะคำนวณบำนาญให้ใหม่
- หากคำนวณได้เพิ่มขึ้น สำนักงานจะปรับเพิ่มบำนาญให้อัตโนมัติในเดือนถัดไป
- หากคำนวณได้เท่าเดิมหรือลดลง ผู้รับบำนาญจะได้รับบำนาญเท่าเดิม
สูตร CARE เมื่อเทียบกับสูตรเดิมแล้วจะทำให้บำนาญเพิ่มขึ้นหรือลดลง?
คำตอบ: ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตของค่าจ้างของผู้ประกันตนแต่ละคน เช่น
- ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ ที่ค่าจ้างค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี จะได้รับบำนาญใกล้เคียงกับสูตรเดิม
- ผู้ประกันตนที่ค่าจ้างสมทบเต็มเพดาน 15,000 บาทมาตลอด จะได้รับบำนาญเท่ากับสูตรเดิม
- ผู้ประกันตนที่ค่าจ้างสูงเป็นระยะเวลานาน แล้วเปลี่ยนมาเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 (หรือเป็นมาตรา 33 ที่ค่าจ้างลดลง) ในช่วงท้าย จะได้บำนาญเพิ่มขึ้น
- ผู้ประกันตนที่ค่าจ้างต่ำเป็นระยะเวลานาน แล้วค่าจ้างสูงอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีสุดท้าย จะได้บำนาญลดลงจากสูตรเดิม
หากคำนวณบำนาญแล้วได้ลดลง จะมีการชดเชยให้หรือไม่?
คำตอบ: สำนักงานประกันสังคมกำหนดช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีหลังมีการแก้ไขกฎหมายสูตรบำนาญ โดยผู้ที่เกิดสิทธิรับบำนาญในช่วงนี้ มีสิทธิได้รับการชดเชยเมื่อคำนวณแล้วสูตรบำนาญใหม่น้อยกว่าสูตรบำนาญเดิม เช่น สูตรเดิมได้บำนาญ 5,000 บาท แต่สูตรใหม่ได้บำนาญเพียง 4,000 บาท จะมีสิทธิได้รับการชดเชย ดังนี้
-ผู้ที่เกษียณในปีแรกหลังแก้ไขกฎหมาย จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 100% -> ได้รับบำนาญ 5,000 บาท
-ผู้ที่เกษียณในปีที่ 2 จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 80% -> ได้รับบำนาญ 4,800 บาท
-ผู้ที่เกษียณในปีที่ 3 จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 60% -> ได้รับบำนาญ 4,600 บาท
-ผู้ที่เกษียณในปีที่ 4 จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 40% -> ได้รับบำนาญ 4,400 บาท
-ผู้ที่เกษียณในปีที่ 5 จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 20% -> ได้รับบำนาญ 4,200 บาท
การปรับสูตรบำนาญมีผลกับความยั่งยืนของกองทุนหรือไม่?
คำตอบ: การปรับสูตรบำนาญทำให้กองทุนมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในระยะกลาง โดยเฉพาะจากกติกาการช่วยเหลือผู้รับบำนาญอยู่และการชดเชยให้ผู้ที่จะเริ่มรับบำนาญภายใน 5 ปีในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เพื่อให้ระบบบำนาญมีความยั่งยืนในการจ่ายสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนในระยะยาว สำหรับทั้งผู้ที่รับบำนาญอยู่และผู้ที่จะเกษียณในอนาคต คณะกรรมการประกันสังคมมีแนวทาง ดังนี้
- ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างในการคำนวณสิทธิประโยชน์และเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง ตามค่าเงินที่เปลี่ยนไป (จากเดิม 15,000 บาทคงที่ ตั้งแต่พ.ศ. 2533 ถึงปัจจุบัน) โดยเริ่มต้นที่ 17,500 บาท ในปี 2569 ต่อด้วย 20,000 บาทในปี 2572 และ 23,000 บาทในปี 2575
- ปรับยุทธศาสตร์การลงทุน โดยปรับเพิ่มความเสี่ยงและความผันผวนในระยะสั้น เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวที่สูงขึ้น
- เพิ่มอัตราเงินสมทบกรณีชราภาพและสงเคราะห์บุตรอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจุบันผู้ประกันตนส่ง 3% นายจ้าง 3% รัฐบาล 1% เป็นอัตราที่สูงขึ้น (อยู่ระหว่างศึกษา ยังไม่มีการกำหนดอัตราเงินสมทบใหม่)
- ทบทวนอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ จากปัจจุบันผู้ประกันตนที่เกษียณอายุสามารถเริ่มรับบำนาญได้ตั้งแต่อายุ 55 ปี เป็นอายุที่สูงขึ้น (อยู่ระหว่างศึกษา ยังไม่มีการกำหนดอายุเกิดสิทธิรับบำนาญใหม่)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: