ล่าสุด สภาผู้แทนราษฏรได้บรรจุวาระเรื่องด่วนการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในวันที่ 5 ก.ย. 2568 ในวันที่ พรรค ‘ประชาชน’ และ ‘ภูมิใจไทย’ ร่วมลงนามใน 5 เงื่อนไข เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีอายุ 4 เดือน เพื่อยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ ควบคู่ไปกับภารกิจปูทางแก้รัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 16 ส.ค. 2567 – 1 ก.ค. 2568 รวม 10 เดือน 15 วัน ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หลายพันสถานการณ์ ที่ส่งผลต่อประเทศไทยในหลายมิติ มีหลายนโยบายที่เริ่มเดินหน้าจนเห็นผลสำเร็จ ในขณะที่อีกหลายนโยบายยังไปไม่ถึงปลายทาง จนต้องติดตามว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ 4 เดือนข้างหน้านี้จะผลักดันสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยเริ่มต้นไว้ต่อไปหรือไม่
เปิดผลงานรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร
ภายใน 10 เดือนกว่าของรัฐบาล ผลงานที่กล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลมีหลายเรื่องหนึ่งในนั้น คือ “หวยเกษียณ” ที่เป็นการออมรูปแบบใหม่ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จูงใจคนไทยเสี่ยงโชคไปพร้อมกับมีเงินเก็บออม ซึ่งวุฒิสภามีมติเห็นชอบกฎหมาย เมื่อ 4 ส.ค. 2568 และอยู่ระหว่างดำเนินการโปรดเกล้าฯ เพื่อประกาศราชกิจจานุเบกษา
สำหรับระบบประกันสุขภาพในรัฐบาลแพทองธาร ไม่เพียงบอร์ด สปสช. จะขับเคลื่อนนโยบายยกระดับบัตรทอง “30 บาทรักษาทุกที่” ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยังได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ ตามงบประมาณ สปสช. ปี 2569 เช่น ค่าบริการผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็ก (PCV) ตรวจโรคกระดูกพรุนในวัยหมดประจำเดือน และชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกช้อนจากเบาหวาน รวมทั้งทำฟันฟรี ปีละ 3 ครั้ง ในจังหวัดนำร่อง
นอกจากนี้ เมื่อ 30 มิ.ย. 2568 กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และการสั่งให้คนที่เกิดในราชอาณาจักรไทย และไม่ได้รับสัญชาติไทย โดยมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติไทย และในวันเดียวกันได้เปิดให้ยื่นขอสัญชาติไทยสำหรับผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรเป็นวันแรก มีผู้ยื่นขอจำนวนมากในหลายจังหวัด
ผ่านกฎหมายคุ้มครองชาติพันธุ์ ลุ้น พ.ร.บ.อากาศสะอาด
หากพิจารณาในมุมของกฎหมายสำคัญที่ออกในรัฐบาลเพื่อไทย ผ่านสภาฯ ชุดที่ 26 นี้ ซึ่งประกอบไปด้วยฝ่ายรัฐบาล 258 ที่นั่ง และฝ่ายค้าน 234 ที่นั่ง ได้ผ่านกฎหมายหลายฉบับ ตลอดระยะเวลาปี 2568 โดยมีกฎหมายสำคัญที่ประกาศราชกิจจาฯ 18 เรื่อง เช่น การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งกฎหมายที่สัมพันธ์กับสิทธิมนุษยชน เช่น
หนึ่งในกฎหมายสำคัญคือ กฎหมายชาติพันธ์ุ หรือ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ซึ่งอยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา นั้น จะนำไปสู่การจัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กำหนดมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการคุ้มครองสิทธิ สร้างความเท่าเทียมให้กับอัตลักษณ์ที่หลากหลาย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่เกิดกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ในสภาฯ ชุดนี้ยังได้ขจัดผลพวงรัฐประหารปี 2557 ด้วยการมีมีมติ “เห็นชอบ” กฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช. หรือ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ…. เพื่อยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. 55 ฉบับ ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่วุฒิสภา เพื่อพิจารณา
อย่างไรก็ตาม มีบางกฎหมายที่ยังคงค้างสภาฯ ในกรณีที่ยุบสภา กฎหมายเหล่านี้จะไม่ได้ไปต่อ หากเพียงเปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น กฎหมายนี้ก็ยังคงได้อยู่ในกระบวนการพิจารณาต่อไป เช่น กฎหมายอากาศสะอาด ที่นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไข แต่ในการพิจารณากฎหมาย เพิ่งเสร็จสิ้นกระบวนการในชั้น กมธ. หลังสภาฯมีมติรับหลักการวาระ 1 ตั้งแต่ 17 ม.ค. 67 เตรียมนำเข้าพิจารณาวาระ 2-3 ที่ห่วงกันว่ากระบวนการออกกฎหมายอาจเสร็จไม่ทันรัฐบาลชุดใหม่
ในขณะที่ กฎหมายอื่น ๆ อย่าง นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง แม้เป็นนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยก่อนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่ได้อยู่ในแถลงนโยบาย ขณะเดียวกันทั้งครม. และพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้เสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาฯ มีเพียงภาคประชาชนและพรรคการเมืองอื่นที่เสนอร่าง อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ ฉบับพรรคครูไทยเพื่อประชาชน และฉบับพรรคภูมิใจไทย ได้ผ่านสภาฯ ในวาระแรกและกำลังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ
แลนด์บริดจ์ โจทย์ท้าทายรัฐบาลใหม่ ?
ในรัฐบาลแพทองธาร โครงการที่เป็นข้อถกเถียงคือ โครงการแลนด์บริดจ์ (Southern Economic Corridor : SEC) ที่จะเปลี่ยนพื้นที่ป่าและเกษตรจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง ให้เป็นเขตอุตสาหกรรม เส้นทางคมนาคมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน และท่าเรือขนาดใหญ่ เริ่มต้นโครงการตั้งแต่พ.ศ. 2561
โครงการนี้จึงเป็นการสานต่อจากรัฐบาล คสช. และถูกผลักดันโดยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแพทองธาร แม้จะไม่ได้อยู่ในแถลงนโยบายของรัฐบาลก็ตาม แต่ถูกหยิบยกขึ้นมาภายหลัง
จากการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พบว่าโครงการนี้ทำลายพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติประมาณ 12.59 ตารางกิโลเมตร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าประมาณ 0.62 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ชุ่มน้ำประมาณ 1.15 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ และสวนทางกับนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ในสภาฯ ว่า
“รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น เพื่อให้เป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิต และเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการสิ่งแวดล้อมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
มากไปกว่านั้น โครงการนี้ยังเอื้อประโยชน์นายทุนอุตสาหกรรมต่างชาติที่ส่งผลกระทบต่อชาวไทย เพราะจะทำให้นักลงทุนต่างชาติได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน รวมทั้งสามารถประกอบธุรกิจที่เคยสงวนไว้เฉพาะชาวไทย เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง อย่างการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ และธุรกิจที่คนไทยไม่พร้อมแข่งขันกับชาวต่างชาติ อย่างงานบัญชี วิศวกรรม สถาปัตยกรรม หรือ กฎหมาย
โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง เป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านล้านบาท จำเป็นต้องออกเป็นกฎหมายให้สภาฯ มีมติเห็นชอบ รัฐบาลจึงได้เร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หากแต่ยังไม่ได่บรรจุเข้าสภาฯ ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โครงการแลนด์บริดจ์ที่พรรคภูมิใจไทยผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนจึงอาจจะเป็นอีกโครงการที่ถูกจับตาว่าจะได้รับการสานต่อ
อีกโครงการที่เป็นข้อถกเถียงคือ โครงการสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งอยู่ในแถลงนโยบายรัฐบาลว่าจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยผลักดันอย่างกระตือรือร้นผ่านร่างกฎหมาย สวนทางกับเสียงไม่เห็นด้วย คัดค้านของประชาชน แม้ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้เป็นการยกเลิกกฎหมายการพนันเดิม เป็นเพียงการออกกฎหมายขึ้นมาบูรณาการสถานบันเทิงให้มีการเล่นพนันในนั้น ซึ่งมีสัดส่วนบ่อนกาสิโนเพียง 10 % ของสถานบันเทิงครบวงจร ท่ามกลางเสียงคัดค้าน และข้อน่าเป็นห่วงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงเป็นแหล่งการฟอกเงินและเอื้อประโยชน์นักธุรกิจต่างชาติโดย สุดท้ายร่างกฎหมายนี้ได้ถูกถอนจากที่ประชุมสภาฯ เมื่อ 9 ก.ค. 68
บ้านเพื่อคนไทย – รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
โครงการบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งเป็นนโยบายการเคหะสาธารณะ เพื่อคนจนเมืองและคนรุ่นใหม่วัยเริ่มทำงาน เป็นอีกโครงการสำคัญของเพื่อไทย ที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนที่มาลงทะเบียนจำนวนมากจากการเปิดจองโครงการเฟส 1 กรุงเทพ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 และเฟส 2 จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 68 อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังอยู่ในระหว่างเสนอ ครม. ซึ่งในเชิงการเมืองถูกวิเคราะห์ว่า อาจไม่ได้ไปต่อหากรัฐบาลใหม่ไม่ใช่รัฐบาลเพื่อไทย
ขณะที่นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ที่เป็นอีกนโยบายหาเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย แม้จะเริ่มต้นขยับได้ช้า แต่สุดท้ายก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหว โดยล่สุดเริ่มให้ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐแล้ว ซึ่งคาดใช้ได้กลางเดือน พ.ย. ในขณะที่ สภาฯ ผ่าน ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ… ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. …. หากแต่ต้องรอฝั่ง สว. มีมติ “เห็นชอบ” ต่อไป อย่างไรก็ตามจากท่าทีไม่เห็นด้วยของพรรคภูมิใจไทยก่อนหน้านี้ ด้วยความเป็นห่วงว่า จะเป็นการนำภาษีอากรของคนทั้งประเทศมาอุดหนุนเอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้า ทำให้คาดว่านโยบายนี้อาจจะไม่ได้ไปต่อ
ซอฟต์พาวเวอร์ – ดิจิทัลวอลเล็ต
ด้วยความล่าช้าในการดำเนินการและความไม่พร้อมของรัฐบาลในการผลักดันนโยบาย ทำให้มีทั้งโครงการที่ผลักดันแล้วไม่ประสบความสำเร็จ และไม่แล้วเสร็จ ทั้ง ๆ ที่บางนโยบายเป็นนโยบายเรือธง เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต และ ซอฟต์พาวเวอร์
THACCA หรือ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยเพื่อส่งเสริม “ซอฟต์พาวเวอร์” และ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” หากแต่ดำเนินการอย่างล่าช้า ซึ่งรัฐบาลแพทองธาร ได้นำกลับมาปัดฝุ่นต่อจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อ 24 ธ.ค. 2567 ร่างกฎหมาย THACCA มีข่าวล่าสุดเมื่อ 14 เม.ย. 2568 ว่ากำลังรอเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และคาดว่าจะผ่านร่างกฎหมายได้ภายในช่วงต้นปี 2569 หากแต่การณ์ไม่เป็นดังนั้น และอาจจะทำให้สุดท้ายนโยบายนี้ ไม่สามารถเดินหน้าไปตามที่ตั้งเป้าไว้
ผลงานที่ผ่านมา รัฐบาลร่วมกับ THACCA กระตุ้นการซื้องานศิลปะเช่น กรมสรรพากรอนุมัติมาตรการภาษี ให้ผู้ที่ซื้อผลงานศิลปินแห่งชาติ หรือศิลปินที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 – 31 ธ.ค. 2570 สามารถลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะ
ในขณะที่ ดิจิทัลวอลเล็ต อีกหนึ่งเรือธง และเป็นนโยบายเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งนโยบายหาเสียง หากแต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดไว้ ในขณะที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในวันที่มีเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากกว่า สุดท้ายด้วยข้อจำกัดหลายด้านทำให้ รัฐบาลปรับรูปแบบจากการแจกเงินดิจิทัลไปเป็นเงินสด และ แบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่
เฟส 1 เดือน ก.ย. 2567 แต่ปรับเงื่อนไขโครงการด้วยการแจกเงินเฉพาะกลุ่มปราะบางและผู้พิการ
เฟส 2 เดือน ม.ค. 2568 แจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ
เฟส 3 สำหรับประชาชนอายุ 16-20 ปี ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
สุดท้ายหากพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็มีแนวโน้มว่านโยายดิจิทัลวอลเล็ตน่าจะไม่ได้ไปต่อ
แก้รัฐธรรมนูญ เป้าหมายใหม่การเมือง
สำหรับ แก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ว่า จะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเร็วที่สุด หากแต่ที่ผ่านมารัฐบาลกลับดำเนินไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้เมื่อ 25 มี.ค. 2568 ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ แพทองธาร ได้ประกาศจุดยืนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 เพียงแต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา เรื่องทำประชามติ และจำนวนครั้งของการทำประชามติ
ความคืบหน้าล่าสุด ในการประชุมรัฐสภาพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบจนต้องยุติการพิจารณา ในขณะที่มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นทำประชามติตลอดการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำกี่ครั้ง ขั้นตอนใดบ้าง ซึ่งจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ที่จะทำให้เส้นทางการแก้รัฐธรรมนูญกลับมาเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง
สอดรับกับบันทึกข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยที่ ข้อ 2. ระบุว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
และข้อ ระบุว่า 3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว
เป็นเครื่องยืนยันว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นอีกเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะต้องเดินหน้าเร่งขับเคลื่อนวางเส้นทางให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือนก่อนยุบสภา
ในขณะที่นโยบายอื่น ๆ เป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ จะต้องจัดลำดับความสำคัญและเดินหน้าวางแผนแก้ปัญหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ที่จะส่งผลต่อความนิยมในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต