เดิมที วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นวันสิ้นสุดการสมัครเข้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง ภาครัฐและเอกชนต่างๆ ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และกลุ่ม non-bank จำนวน 2.1 ล้านบัญชี ลูกหนี้ 1.9 ล้านคนให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น นับตั้งแต่ที่โครงการเริ่มเปิดลงทะเบียนลูกหนี้ตั้งแต่ 12 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้ลงทะเบียน 7.46 แสนบัญชีจากลูกหนี้ 6.42 แสนราย หรือคิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ธปท. จึงตัดสินใจประกาศขยายระยะเวลาลงทะเบียนไปจนวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้แทน
“คุณสู้ เราช่วย” ไม่ใช่เพียงโครงการเดียวที่มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขหนี้ทั้งระบบมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ในกรณีของหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการออกสินเชื่อเพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ รวมผู้ได้รับอนุมัติความช่วยเหลือ 53,521 ราย มูลค่าเกือบ 1,900 ล้านบาท สำหรับหนี้ในระบบ นอกจากโครงการคุณสู้ เราช่วยแล้ว ธปท. ยังมีความช่วยเหลือ เช่น โครงการคลินิกแก้หนี้มีบัญชีที่ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สะสม 235,254 ราย โครงการทางด่วนแก้หนี้มีผู้ได้รับความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยกับสถาบันการเงิน 298,305 ราย โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชนที่ให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้สะสมจำนวน 12,403 ราย รวมถึงโครงการพักหนี้เกษตรกรโดย ธ.ก.ส. ซึ่งในรอบปีมีผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วม 1,855,433 ราย
“คิดไม่ยั่งยืน-เกาไม่ถูกที่คัน”: โจทย์ใหญ่ชี้ชัด…วิธีลัดแบบนี้ไม่ใช่คำตอบ
หากเปรียบเทียบข้อมูลผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการเหล่านี้กับสัดส่วนผู้มีหนี้ของประเทศจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน หากผู้เขียนใช้สมมติฐานง่ายๆ ว่าบัญชีหนี้ 1 บัญชีสามารถเข้าได้เพียง 1 โครงการ โครงการบรรเทาปัญหาหนี้หลักๆ ข้างต้นจะครอบคลุมลูกหนี้ประมาณ 3.2 ล้านราย ขณะที่ข้อมูลจาก ธปท. ระบุว่าคนไทยมากถึง 25.5 ล้านคนมีหนี้ หาก 1 บัญชีสามารถได้รับความช่วยเหลือซ้ำได้ในบางโครงการ ความแตกต่างดังกล่าวจะยิ่งมากขึ้นไปอีก ประเด็นดังกล่าวคงไม่ได้นำมาซึ่งการถกกันว่าภาครัฐควรขยายโครงการให้ครอบคลุมความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกรายในประเทศเนื่องด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ แต่สิ่งที่สังคมควรหาคำตอบร่วมกันคือหากมาตรการลักษณะนี้ไม่สามารถขจัดปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ในวงกว้าง อีกทั้งความช่วยเหลือทางการเงินยังนำมาซึ่งการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อชดเชยแก่สถาบันการเงินไม่มากก็น้อย มาตรการลักษณะนี้มีความยั่งยืน ตรงจุด และคุ้มค่าเพียงพอที่จะถือเป็นนโยบายเรือธงในการแก้หนี้ครัวเรือนไทยต่อไปหรือไม่
หากกล่าวถึงมาตรการกลุ่มการพักหนี้ ประเด็นร้อนที่หนีไม่พ้นคำวิจารณ์คือ “ความยั่งยืน” ของมาตรการ งานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์อาศัยกรณีศึกษาจากมาตรการพักหนี้เกษตรกรและพบว่ามาตรการรอบล่าสุดถือเป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ปี 2557 โดยมีลูกหนี้เกษตรกรที่เคยเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 1 ครั้ง 86% และกว่า 35% อยู่ในโครงการต่อเนื่องในช่วงปี 2558-2564 ผลการวิจัยดังกล่าวพบว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการมีโอกาสสะสมหนี้ใหม่ ผิดนัดชำระหนี้ และเสี่ยงติดกับดักหนี้มากขึ้นกว่าผู้ที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ขณะที่การที่ลูกหนี้สามารถจ่ายหนี้ลดลงได้กลับไม่ไปเพิ่มเงินออมหรือลงทุนทำการเกษตรเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ส่วนหนี้ที่พักชำระไว้ยังมีดอกเบี้ยที่วิ่งอยู่และนำไปปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน การศึกษาในบริบทอื่น ๆ นอกเหนือจากหนี้เกษตรกรก็ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการพักหนี้ เช่นในสหรัฐฯ การพักหนี้เพื่อการศึกษาในช่วงโควิด-19 เมื่อปี 2563 ทำให้บุคคลก่อหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน และหนี้รถเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ในอินเดีย การพักหนี้ที่ยาวขึ้นในช่วงโควิด-19 ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้หลังโครงการมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการเป็นหนี้เสีย งานวิจัยเหล่านี้สะท้อนปัญหาร่วมกันจาก “ความเสี่ยงทางศีลธรรม (moral hazard)” เนื่องจากลูกหนี้คาดหวังว่าในอนาคตก็จะมีความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันอีกจนไม่ควบคุมพฤติกรรมการกู้ยืมและชำระหนี้ของตนเองให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม มาตรการในระยะหลังเริ่มมีการคำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้น เช่นในกรณีของโครงการคุณสู้ เราช่วยจะมีการกำหนดคุณสมบัติว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการได้จะต้องมีหนี้และสถานะค้างชำระก่อนมาตรการประกาศใช้ และมีเงื่อนไขว่าลูกหนี้จะไม่สามารถกู้ยืมเพิ่มได้ในช่วง 12 เดือนแรกหลังเข้าร่วมโครงการ รวมถึงต้องมีวินัยในการชำระค่าหนี้ที่เหลืออยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา 3 ปี ปัญหาคือความพยายามดังกล่าวกลับสร้างข้อจำกัดใหม่เนื่องด้วยการแก้ปัญหาที่ “ไม่ถูกที่คัน” ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของโครงการคุณสู้ เราช่วย ธปท. ระบุปัญหาว่ามีลูกหนี้หลายรายที่ผ่านเกณฑ์ใช้คุณสมบัติและเงื่อนไขข้างต้นเป็นจุดตัดสินใจไม่เข้าร่วมโครงการ ผลที่ได้คือมีลูกหนี้ไม่ถึง 35% ที่เข้าร่วมโครงการในรอบ 2 เดือนแรกที่เปิดลงทะเบียน ประเด็นข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าแม้หนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่ในปัจจุบันจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยโครงการเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าลูกหนี้จะสามารถควบคุมพฤติกรรมทางการเงินของตนเองและหันหลังให้กับวงวนกับดักหนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
“รู้ คิด ทำ”: แนวทางปรับมาตรการแก้หนี้คนไทยให้ยั่งยืน
การศึกษาในต่างประเทศสะท้อนว่าบุคคลที่มีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมทางการเงินที่เหมาะสมจะมีการกู้ยืมเงินและการบริหารจัดการหนี้ที่พึงประสงค์ เช่น การเป็นหนี้บัตรเครดิตลดลง ความรู้สึกไม่สบายใจที่จะก่อหนี้และบริโภคหรือก่อหนี้ลดลง ดังนั้นนอกเหนือจากการบริหารจัดการหนี้ที่สุ่มเสี่ยงหรือกลายเป็นหนี้เสียหรือค้างชำระไปแล้ว การกลับมาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่พฤติกรรมทางการเงินส่วนบุคคล และการจัดการหนี้ที่ยังมีสถานะดีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและนำไปสู่การแก้หนี้ที่ยั่งยืน
ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงการคลังก็มีข้อสั่งการในการยกะดับความรู้และทักษะการบริหารจัดการเงิน เพิ่มผู้ช่วยให้คำแนะนำปัญหาหนี้ และส่งเสริมการออม ตัวอย่างโครงการที่เป็นรูปธรรม เช่น โครงการ Fin. ดี Happy Life!!! โดย ธปท. เป็นหน่วยงานในการฝึกอบรมพี่เลี้ยงทางการเงินในสถานที่ทำงานเพื่อส่งต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริหารจัดการเงินที่ดี ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็มีหลักสูตร SET e-Learning เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเงินอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ดี ข้อสังเกตที่ผู้เขียนมีต่อโครงการเหล่านี้คือการมีลักษณะกระจายตัวออกจากโครงการแก้หนี้ที่ได้กล่าวข้างต้น กล่าวคือผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งบางส่วนได้รับการพักหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ กลับไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมทางการเงินเช่นนี้ควบคู่กันไปด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ชัดเจนว่ามาตรการการจัดการหนี้ที่ยั่งยืนย่อมต้องมาควบคู่กับการปรับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้คนให้รู้จักบริโภคและก่อหนี้อย่างพอตัวและมีความรับผิดชอบ ข้อค้นพบที่เด่นชัดคือการที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้มีหนี้ที่เป็นแรงงานในระบบ มีรายได้สม่ำเสมอ จำนวน 307 รายในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 และพบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ “รู้แต่ไม่ทำ” ให้สุขภาพทางการเงินของตนเองดีขึ้น
ผลสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าแม้บุคคลจะมีทัศนคติและความรู้ทางการเงินในระดับสูง (คิดเป็นคะแนน 85% และ 70% ตามลำดับ) แต่กลับ “ไม่ลงมือทำ” กล่าวคือมีระดับการลงมือจัดการเรื่องการเงินของตนเองมีคะแนนรั้งท้าย (คะแนน 65%) แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างการไม่ยอมจดบัญชีครัวเรือนและบันทึกรายรับ–รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงขาดการวางแผนการใช้จ่าย บัตรเครดิต และการออมอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นการที่จะส่งเสริมให้บุคคลมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดี วางแผน จัดการเงินและหนี้สินของตนเองได้ จึงต้องอาศัยมาตรการที่เจาะจงในแต่ละประเด็นเพื่อสร้างนิสัย (habit formation) พฤติกรรม และสุขภาพทางการเงินที่ดีในระยะยาว
มาตรการที่ยั่งยืนควรคิดทั้งปรับ “หนี้เก่า” และสร้าง “พฤติกรรมใหม่”
ในท้ายที่สุด ผู้เขียนมองว่ามาตรการทั้ง 2 ฝั่ง ล้วนมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ในมุมหนึ่งการพักหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้อาจแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทันใจลูกหนี้แต่ก็ขาดความยั่งยืนเพียงพอและอาจไม่ตอบโจทย์จนผู้ที่เข้าเกณฑ์ของมาตรการเลือกไม่เข้าร่วม แต่ในอีกมุมหนึ่งแม้การส่งเสริมความรู้ ทัศนคติ และการลงมือจัดการเรื่องการเงินจะมีความยั่งยืนในแง่การป้องกันปัญหาหนี้ซ้ำเติมในอนาคต แต่ก็อาจไม่ทันท่วงทีสำหรับผู้ที่กำลังจมอยู่กับภาระหนี้มหาศาลเป็นทุนเดิม ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่มีเจตนาที่จะฟันธงว่ามาตรการใดมีความเหมาะสมที่สุดในการแก้หนี้ครัวเรือนไทย ในความเป็นจริงทางออกที่น่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับลูกหนี้คือการแก้ปัญหาหนี้เฉพาะหน้าจากมาตรการอย่าง “คุณสู้ เราช่วย” ในปัจจุบัน ควบคู่กับการบ่มเพาะนิสัย พฤติกรรมทางการเงินที่เหมาะสมในระยะยาวไปพร้อมๆ กันน่าจะช่วยลูกหนี้ได้อย่างยั่งยืน ตรงจุด และตอบโจทย์เสียมากกว่า
อ้างอิง
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2568). ขยายเวลาการสมัครเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย และเพิ่มมาตรการของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ที่ไม่ได้เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์. https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20250211.html
- กระทรวงการคลัง. (2568). รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลัง. https://mof.go.th/th/view/attachment/file/3139383533/ข่าวแถลงกระทรวงการคลังฉบับที่%2017-2568%20%28รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลัง%29.pdf
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). สถิติความช่วยเหลือลูกหนี้. https://www.bot.or.th/th/statistics/debt-statistic.html
- Policy Watch Thai PBS. (2567). พักหนี้เกษตรกรระยะที่ 1 ผู้เข้าร่วม 1.85 ล้านคน. https://policywatch.thaipbs.or.th/article/economy-99
- ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2567). สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย. https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/Phrasiam-67-2/2567-info-debt-situation.html
- Ratanavararak, L., & Chantarat, S. (2022). Do Agricultural Debt Moratoriums Help Or Hurt?: The Heterogenous Impacts on Rural Households in Thailand (No. 195). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
- Dinerstein, M., Yannelis, C., & Chen, C. T. (2024). Debt moratoria: Evidence from student loan forbearance. American Economic Review: Insights, 6(2), 196-213.
- Vishen, R. S. P. N. (2023). Does moratorium affect loan repayment behaviour?. DVARA Research
- ThaiPBSNews. (2568). เคลียร์ทุกปม “คุณสู้ เราช่วย” โครงการดี ทำไมลูกหนี้ไม่เข้า(เกณฑ์)? | คุณสู้ เราช่วย กู้วิกฤตหนี้ [วิดีโอ]. YouTube. https://www.youtube.com/watch?v=M_C2m1Pjevg
- Ibrahim, M. E., & Alqaydi, F. R. (2013). Financial literacy, personal financial attitude, and forms of personal debt among residents of the UAE. International Journal of Economics and Finance, 5(7), 126-138.
- Almenberg, J., Lusardi, A., Säve‐Söderbergh, J., & Vestman, R. (2021). Attitudes towards debt and debt behavior. The Scandinavian Journal of Economics, 123(3), 780-809.
- กระทรวงการคลัง. (2566). แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ. https://mof.go.th/th/view/attachment/file/3139313231/ข่าวแถลงกระทรวงการคลังฉบับที่%20144-2566%20%28แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ%29.pdf