ThaiPBS Logo

เช็กสุขภาวะทางดิจิทัล 2567 แต่ละ Gen เป็นอย่างไร ?

6 ก.ย. 256715:17 น.
เช็กสุขภาวะทางดิจิทัล 2567 แต่ละ Gen เป็นอย่างไร ?
  • ดัชนีชี้วันสุขภาวะทางดิจิทัลแบ่งออกเป็น 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพสังคม ผลิตภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการเป็นพลเมืองดิจิทัล
  • ผลสำรวจสุขภาวะทางดิจิทัล 2567 พบกลุ่ม Gen Z สุขภาพกาย-จิต-ผลิตภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล-การเป็นพลเมืองดิจิทัล แย่สุด ขณะที่ Gen X สุขภาพจิต-สังคม น่าห่วง เหนื่อยหน่ายอ่อนล้า รู้สึกต้องเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ตลอด ส่วน Gen Y มีสุขภาพจิตและมีความเป็นพลเมืองดิจิทัลดีที่สุด
  • การเพิ่มทักษะดิจิทัลในกลุ่มเด็ก-เยาวชน ควรทำเป็นเรื่องแรกและเร่งด่วน เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกัน เสี่ยงกระทบต่อพัฒนาการ ร่างกาย และจิตใจ
  • หนุนผลักดันให้มนุษย์เงินเดือนหยุดใช้ดิจิทัลหลังเลิกงาน เป็นนโยบายหรือเป็นข้อปฏิบัติที่ใช้ได้จริง
ผลสำรวจสุขภาวะดิจิทัล เผยคนไทย 76% ไม่เคยหยุดใช้โซเชียลมีเดียแม้แต่วันเดียว ขณะที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และสุขภาวะทางจิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ชี้ Gen Z สุขภาพกาย-จิตแย่สุด ขณะ Gen X เหนื่อย ต้องเชื่อมต่อโลกออนไลน์ตลอดเวล แนะเร่งเพิ่มทักษะดิจิทัลในกลุ่มเด็ก-เยาวชนเร่งด่วน เหตุยังไม่มีภูมิคุ้มกัน

สังเกตไหม? หันไปทีไรก็เจอคนก้มหน้า หรือหลายครั้งที่เรากำลังพูดคุยกับเพื่อน แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะสมาร์ทโฟนกลับแย่งความสนใจจากเพื่อนหรือคนในครอบครัวเรา สิ่งเหล่านี้มองดูผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ที่จริงแล้วเป็นปัญหาระดับสังคมที่ต้องแก้ด้วยนโยบาย

ผศ.ปนันดา จันทร์สุกรี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยว่า สถิติการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลของคนไทยเมื่อปีที่ผ่านมา 76% ไม่เคยหยุดใช้โซเชียลมีเดียแม้แต่วันเดียว ขณะที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และสุขภาวะทางจิตอื่น ๆ มีแนวโน้มพบเห็นในสังคมมากขึ้น

ทำให้เกิดการ “สำรวจสุขภาวะดิจิทัล 2567” ขึ้นมา ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองของการสำรวจ เพื่อค้นหาเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของโลกดิจิทัล ผลกระทบ และหาข้อเสนอเพื่อลดผลกระทบสุขภาวะทางจิตที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี

โดยผลสำรวจพบข้อมูลน่าห่วงว่า จากกลุ่มตัวอย่างเกือบ 5,000 คน คนส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อทำงาน/เรียน 5-6 ชั่วโมงต่อวัน และเพื่อความบันเทิง 3-4 ชั่วโมงต่อวัน เรียกว่าแทบทั้งวันจะอยู่ติดกับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา

อีกทั้งยังพบการใช้สมาร์ทโฟนขณะกินข้าวหรือพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวคิดเป็น 4 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่าง และ 62% ไม่จำกัดเวลาการใช้งาน

นอกจากนี้ในแต่ละช่วงวัยยังมีพฤติกรรมที่ดูผิวเผินเหมือนเป็นปัญหาปัจเจกบุคคลล แต่ที่จริงแล้วกลับเป็น “โรคแห่งยุคสมัย” ที่ถือว่าเป็นปัญหาระดับสังคมที่ต้องแก้ด้วยนโยบาย เพราะล้วนแต่ส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพสังคม ไปจนถึง “สุขภาพจิต” ที่เชื่อมโยงไปถึงการพบผู้ป่วยโรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย

 

 

แต่ละเจนมีสุขภาวะทางดิจิทัลเป็นอย่างไร ?

Gen Z (อายุ 15 – 27 ปี)

  • ปล่อยวางได้ยาก เมื่ออยู่ในสังคมออนไลน์
  • รู้สึกต้องนำเสนอตัวตนในสื่อสังคมออนไลน์ให้ดูดี
  • สื่อสังคมออนไลน์ ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง

Gen Y ( อายุ 28 – 44 ปี)

  • ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคลและ Digital Footprints
  • เช็กข้อมูลก่อนโพสต์/แชร์บนสื่อสังคมออนไลน์
  • รู้วิธีรับมือกับภัยออนไลน์และมีภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัลสูง

Gen X (อายุ 45 – 59 ปี)

  • สื่อสังคมออนไลน์ ทำให้มีสมาธิกับงาน/การเรียนลดลง
  • สื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน/เรียนลดลง
  • การใช้อุปกรณ์ดิจิทัล ทำให้เหนื่อยหน่าย อ่อนล้า
  • รู้สึกต้องเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ตลอด เพื่อให้คนอื่นติดต่อเราได้ทุกที่

Baby Boomer (อายุ 60 – 78 ปี)

  • ไม่ค่อยรู้วิธีรับมือภัยออนไลน์

 

 

Gen “Z-X” มีระดับสุขภาวะทางดิจิทัลน่าห่วง

สำหรับดัชนีชี้วัดระดับสุขภาวะทางดิจิทัล แบ่งออกได้เป็น 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพสังคม ผลิตภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการเป็นพลเมืองดิจิทัล

กลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่มีระดับสุขภาวะต่ำที่สุดใน 4 มิติ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ผลิตภาพการใช้เทคโนโลยี และการเป็นพลเมืองดิจิทัล

ขณะที่กลุ่ม Gen X มีระดับสุขภาวะทางดิจิทัลด้านสุขภาพจิตและสุขภาพสังคมต่ำที่สุด

สะท้อนให้เห็นว่า “เด็กและเยาวชน” คือวัยที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีดิจิทัลมากที่สุด ดังนั้นแล้วการปลูกฝังภูมิคุ้นการใช้งานดิจิทัลในกลุ่มเด็กและเยาวชนควรเป็นเรื่องแรกที่ต้องรีบทำ

 

วิธีสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้ “เด็ก-เยาวชน”

เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลย่อมมีผลโดยตรงทำให้สุขภาวะทางดิจิทัลต่ำ

วิธีที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน สามารถทำได้ดังนี้

  • ตั้งต่าการควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาและการใช้งาน
  • จำกัดเวลาใช้สื่อสังคมออนไลน์
  • เป็นสมาชิกบนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสอดส่องดูแลลูก
  • รับฟัง พูดคุย สนับสนุน สิ่งที่เด็กชอบ เขาจะได้กล้าพูดคุยปรึกษาปัญหา
  • สอนให้รู้จักประโยชน์ โทษ ภัยออนไลน์ และวิธีรับมือกับปัญหาบนโลกออนไลน์

 

“เด็ก-เยาวชน” ควรใช้หน้าจอเท่าไร

การจำกัดเวลาใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามช่วงอายุ มีระยะเวลาการใช้หน้าจอที่เหมาะสมดังนี้

  • อายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล หากจะให้ใช้ควรให้ใช้ในรูปแบบวิดีโอแชทร่วมกับพ่อแม่เมื่อจำเป็นเท่านั้น
  • อายุ 2-4 ปี ใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลได้ไม่เกิน 1 ชม./วัน โดยต้องอยู่ในตวามดูแลของพ่อแม่ และผู้ปกครองควรเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมให้ลูกด้วย
  • อายุ 5-7 ปี ใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลไม่เกิน 2-3 ชม./วัน โดยพ่อแม่ควรกำหนดเวลาการใช้หน้าจอ
  • อายุ 8 ปีขึ้นไป พ่อแม่สามารถพิจารณาเวลาการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลได้ตามความเหมาะสม และผู้ปกครองควรปลูกฝังภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัล

 

 

ผลกระทบของการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลต่อ “เด็ก-เยาวชน”

ถ้าเด็กและเยาวชนขาด “ทักษะทางดิจิทัล” จะส่งผลต่อพัฒนาการ ร่างกาย และจิตใจ

ด้านพัฒนาการ

  • ทักษะการใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับช่วงวัยน้อยลง เช่น การขี่จักรยาน การผูกเชือกรองเท้า เป็นต้น
  • พัฒนาการทางภาษาจะช้าลง

ด้านร่างกาย

  • โรคอ้วน
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ/หลับไม่สนิท
  • ปวดตา
  • ปวดหลัง

ด้านจิตใจ

  • ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
  • อารมณ์ฉุนเฉียว
  • เรียนแย่ลง
  • ต่อต้านสังคม
  • ซึมเศร้า
  • วิตกกังวล

 

หนุนยกระดับทักษะทางดิจิทัลให้เป็นนโยบาย

เด็กและเยาวชนคือกลุ่มแรกที่ควรปลูกฝังทางดิจิทัล ส่วนวัยอื่น ๆ ก็ควรได้รับการยกระดับ “ทักษะทางดิจิทัล” ให้เป็น “นโยบายระดับชาติ” 

โดย ตฤณ ทวิธารานนท์  อดีตผู้ช่วยผู้อํานวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เปิดเผยอีกว่า ต่อจากนี้ควรจะส่งเสริมให้ “ผู้สูงอายุ” มีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อป้องกันการถูกหลอกในโลกออนไลน์

“ผู้พิการ” ต้องไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคมจากระบบดิจิทัลที่ไม่เอื้อต่อการใช้งาน เช่น พร้อมเพย์ ที่มีแค่การสแกนคิวอาร์โค้ด ซึ่งไม่มีระบบเสียงบ่งบอกว่าขึ้นคิวอาร์โค้ดแล้วสำหรับผู้พิการทางสายตา หรือแม้แต่กระทั่งการมีแอปพลิเคชันแยกสำหรับพวกเขา ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่คนในสังคมเดียวกัน

“คนทำงาน” ต้องมีนโยบายหรือข้อตกลงที่ปฏิบัติได้จริงว่าหลังเลิกงานหรือวันหยุด จะสามารถหยุดใช้สมาร์ทโฟนได้อย่างไม่ต้องรู้สึกผิด

และ “ทุกคน” ในฐานะผู้ส่งต่อข้อมูล หรือผลิตสื่อออนไลน์ ควรจะมีจริยธรรมและตระหนักรู้ว่า 1 เสียง 1 ข้อมูลของเรา สามารถสร้างผลกระทบในวงกว้างได้

อ่านเพิ่มเติม : พฤติกรรมยุคดิจิทัลทำสุขภาพจิตแย่ แก้ที่เราหรือใคร?

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบสุขภาวะทางจิต

ปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยนับวันจะมีมากขึ้นในทุกช่วงอายุ นโยบายเพื่อแก้ปัญหามาจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก โดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้บรรจุนโยบายด้านสุขภาพจิตไว้เป็น 1 ในนโยบาย "ยกระดับ 30 บาทพลัส" แต่จะสามารถคลี่คลายปัญหาได้หรือไม่ ในเมื่อสุขภาพจิตเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคมเศรษฐกิจในวงกว้าง

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: