ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลรัฐที่ไม่สามารถเรียกเก็บจากแรงงานต่างด้าวได้ ก่อให้เกิดความสูญเสียหลายพันล้านบาทต่อปี และกลายเป็นประเด็นดราม่าสำคัญในสังคมไทย
ทางออกที่เห็นตรงกันคือการสร้างระบบประกันสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าว ให้สามารถเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพได้อย่างเป็นระบบ โดยการซื้อ ”ประกันสุขภาพ“ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะขึ้นอยู่กับรูปแบบการจ้างงาน รายได้ และสถานะของแรงงานในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดความท้าทายทั้งในด้านการบริหารจัดการและความยั่งยืนของระบบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 8 ต.ค. 68 กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เปิดตัว ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จแรงงานต่างด้าว (One Stop Service – OSS) พร้อมกันใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี
วรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า นโยบายนี้คือ “Quick Win” ของรัฐบาลใหม่ ที่ต้องการขับเคลื่อนผลลัพธ์จับต้องได้ในเวลาอันสั้น แต่ในเชิงโครงสร้าง นี่คือจุดเริ่มของการจัดระเบียบ “ระบบสุขภาพชายแดน” ที่ซับซ้อนที่สุดของไทยเพราะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับแรงงาน 5 ล้านชีวิต หากยังโยงถึงระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับภูมิรัฐศาสตร์
ศูนย์ OSS แห่งนี้ทำหน้าที่ทั้ง ตรวจสุขภาพ ออกใบรับรองแพทย์ ซื้อประกันสุขภาพ และยืนยันตัวบุคคลด้วยประบบไบโอเมตริกซ์ ภายในจุดเดียว โดยเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสุขภาพกลางของกระทรวงสาธารณสุข (HINT) และแพลตฟอร์ม FDH–Migrant Platform ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ข้อมูลแรงงานข้ามชาติทั่วประเทศถูกจัดเก็บแบบรวมศูนย์
“ระบบนี้จะทำให้เรารู้ว่าใครคือใคร อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร มีสิทธิรักษาพยาบาลหรือไม่ และช่วยให้โรงพยาบาลลดภาระหนี้สูญจากแรงงานที่ไม่มีประกันได้” นายวรโชติ ระบุ
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าขยายจาก 4 จังหวัดนำร่องเป็น 10 จังหวัดในเฟสที่ 2 และครอบคลุมทั่วประเทศภายใน ม.ค. 69 แต่คำถามใหญ่คือ “ระบบนี้จะทำให้แรงงานต่างด้าวเข้าถึงสิทธิสาธารณสุขได้จริงหรือไม่?” และ “ใครจะเป็นผู้แบกรับภาระหากพวกเขายังอยู่นอกระบบ?”
แรงงานข้ามชาติ 5.3 ล้านคนยังอยู่นอกระบบกว่า 1 ล้าน
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 5.3 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา กัมพูชา และลาว แต่ยังมีอีกกว่า 1 ล้านคน ที่อยู่นอกระบบหลักประกันสุขภาพและประกันสังคม
นั่นหมายความว่า แรงงานกว่า 20% ของแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ยังไม่มีหลักประกันสุขภาพใด ๆ ซึ่งเท่ากับว่า โรงพยาบาลรัฐยังคงต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาลจากกลุ่มนี้โดยไม่สามารถเรียกเก็บเงินคืนได้
นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ การพิสูจน์ตัวตนที่ไม่ชัดเจน และ ระบบข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน
“หากไม่มีระบบยืนยันตัวตนที่เข้มแข็ง จะเกิดปัญหาการสวมสิทธิ์ ปลอมแปลง หรือใช้ชื่อคนอื่นซื้อประกัน ซึ่งเราเจอมาหลายกรณีในอดีต” นพ.มณเฑียร กล่าว
การพัฒนา “ฐานข้อมูลสุขภาพแรงงานข้ามชาติ” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือ การสร้างรากฐานของความมั่นคงทางสุขภาพ (Health Security) ที่ป้องกันโรคระบาดชายแดนและช่วยลดความเสี่ยงทางการคลังของระบบสาธารณสุขไทยในระยะยาว
ระบบไบโอเมตริกซ์ “TRCBAS” เทคโนโลยีใหม่ในสนามชายแดน
หนึ่งในหัวใจของระบบ OSS คือ TRCBAS (Thai Red Cross Biometric Authentication System) ซึ่งพัฒนาโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับสภากาชาดไทย เพื่อใช้ในการ “พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล” ผ่านข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า และม่านตา
ระบบนี้ดึงข้อมูลจาก 3 แหล่งหลัก ได้แก่
- การรายงานจากอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.)
- การคัดกรองเชิงรุกในชุมชน
- ฐานข้อมูลรายงานโรคของสถานพยาบาล (DDS/HDC)
ข้อมูลทั้งหมดถูกเชื่อมเข้าสู่ Disease Control Data Hub ของกรมควบคุมโรค เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังโรคแบบเรียลไทม์ และป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล
ในทางปฏิบัติ นี่คือการสร้าง “ระบบยืนยันตัวตนแบบเดียวกับบัตรประชาชน” ให้กับแรงงานต่างด้าว เพื่อให้ทุกคนมีตัวตนในระบบสาธารณสุข แม้ไม่มีสัญชาติไทยก็ตาม
“การมีข้อมูลชีวมิติไม่ใช่เพื่อควบคุมคน แต่เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับสิทธิพื้นฐานที่พึงมี ทั้งด้านสาธารณสุขและความปลอดภัย” นพ.มณเฑียร กล่าว
ความมั่นคงทางสุขภาพ = ความมั่นคงของชาติ
การจัดตั้งศูนย์ OSS ไม่ได้มีเพียงมิติทางสาธารณสุข แต่ยังเป็น “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ” ในการป้องกันโรคติดต่อข้ามแดน เช่น วัณโรค ไข้เลือดออก มาลาเรีย และ COVID-19
ในพื้นที่ชายแดนตาก–เมียวดี การเคลื่อนย้ายแรงงานเกิดขึ้นทุกวัน ทั้งข้ามแดนถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย แรงงานจำนวนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่จำนวนมากทำงานในฟาร์ม โรงงาน หรือการก่อสร้าง
หากไม่มีระบบคัดกรองและประกันสุขภาพที่ครอบคลุม ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่โรคและทำให้โรงพยาบาลชายแดนรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รมช.สธ. ย้ำว่า นโยบายนี้ไม่ได้ทำเพื่อแรงงานต่างด้าวเท่านั้น แต่เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ เราต้องการให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยเข้าถึงระบบสุขภาพ และลดภาระโรงพยาบาลชายแดนที่ต้องรักษาฟรีโดยไม่มีงบรองรับ
เสียงจากพื้นที่ รพ.แบกหนี้ปีละ 10 ล้านบาท
“Thai PBS Policy Watch” ลงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พูดคุยกับ นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง ซึ่งให้ภาพที่ต่างออกไป ภาพของระบบสุขภาพที่ยังไม่ทันรองรับกับนโยบายใหม่
เขาเปิดเผยว่า โรงพยาบาลท่าสองยางต้องแบกรับ หนี้ค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวกว่า 10 ล้านบาทต่อปี เพราะแรงงานส่วนใหญ่ยังไม่ซื้อประกันสุขภาพ
แม้รัฐบาลจะเปิดช่องให้แรงงานต่างด้าวและผู้หนีภัยสามารถทำงานนอกค่ายได้ แต่ในทางปฏิบัติ แรงงานจำนวนมากยังไม่มีรายได้ประจำ หรือ ไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันเต็มจำนวนได้ทันที
“กลุ่มแรงงานทั่วไปที่เริ่มมีรายได้ เราสนับสนุนให้ซื้อประกัน แต่เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียง ต้องมีระบบช่วยเหลือเพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นภาระต่อโรงพยาบาล” นพ.ธวัชชัย กล่า
เบี้ยประกันสุขภาพต่างด้าวในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,200 บาทต่อปี บวกค่าตรวจสุขภาพอีกประมาณ 500 บาท ซึ่งเท่ากับรายได้แรงงานบางกลุ่มในหนึ่งเดือน
นี่คือสาเหตุที่แรงงานหลายหมื่นคนในพื้นที่ แต่มีผู้ซื้อประกันจริง ไม่ถึง 100 คน
ปลดล็อกผู้หนีภัย จากมนุษยธรรมสู่การบริหารจัดการ
นโยบาย “ปลดล็อกผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาให้ทำงานนอกค่าย” มีผลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี 26 สิงหาคม 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญในการ “แปลงสถานะจากผู้หนีภัยเป็นแรงงานถูกกฎหมาย”
พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม หรือ “หมอเบียร์” อดีตอายุรแพทย์โรคติดเชื้อโรงพยาบาลแม่สอด อธิบายว่า ไทยรองรับผู้หนีภัยจากเมียนมามานานกว่า 40 ปี แม้จะไม่เป็นภาคีอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แต่ก็มีพันธะทางมนุษยธรรม
การเปิดให้ผู้หนีภัยออกมาทำงานได้คือการ “เปลี่ยนแนวคิดจากการตั้งค่ายกักกัน” ไปสู่ “การบริหารจัดการเชิงระบบ” ที่ช่วยทั้งด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุข
“เมื่อเขาทำงานได้ มีรายได้ ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพได้ ไม่ต้องพึ่งงบรัฐเพียงอย่างเดียว” พญ.ณัฐกานต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เธอเตือนว่า การปลดล็อกครั้งนี้อาจก่อให้เกิด “ช่องโหว่ใหม่” หากระบบประกันสุขภาพไม่ทันกับการขึ้นทะเบียนแรงงานจริง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่นายจ้างยังไม่เข้าใจหรือไม่รับผิดชอบซื้อประกันให้
ช่องโหว่ในระบบประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
พญ.ณัฐกานต์ แบ่งประเภทแรงงานข้ามชาติในไทยออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- แรงงาน MOUที่เข้ามาทำงานตามสัญญา
- แรงงานที่มี work permit และประกันสุขภาพรายปี
- แรงงานมาตรา 64 ซึ่งทำงานภาคเกษตร ไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้
- แรงงานจ้างสั้น/ไม่มีสัญญาแน่นอน
แต่ละกลุ่มมีความเสี่ยงต่างกัน โดยเฉพาะแรงงานในภาคเกษตรและงานรับจ้างรายวัน ที่มักอยู่นอกระบบทั้งหมด
เธอระบุว่า หากแรงงานหมดสัญญาและประกันหมดอายุ แต่ยังคงทำงาน นายจ้างไม่ต่อประกันให้ ระบบสาธารณสุขไทยก็ยังต้องรับภาระรักษาฟรีอยู่ดี
“ช่องโหว่นี้จะปิดได้ ก็ต่อเมื่อมีระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometric และนายจ้างต้องถูกบังคับให้ซื้อประกันสุขภาพต่อเนื่อง” พญ.ณัฐกานต์
ขณะที่ในบางกรณี ผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมาข้ามแม่น้ำมารับการรักษาในฝั่งไทย เพราะฝั่งเมียวดีไม่มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพียงพอ แม้โรงพยาบาลชายแดนพยายามประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลฝั่งเมียนมา แต่ก็ยังไม่มีงบประมาณถาวร ทำให้เกิดภาระสะสมปีต่อปี
ก้าวสู่ระบบ Biometric “รู้จักเขาให้เท่ากับรู้จักเรา”
ข้อเสนอจากหลายฝ่ายตรงกันว่า การนำระบบ Biometric เข้ามาใช้คือ “คำตอบกลาง” ที่สมดุลระหว่าง สิทธิมนุษยชนและความมั่นคง
ระบบสแกนม่านตาและใบหน้าที่สภากาชาดไทยพัฒนาร่วมกับกรมควบคุมโรค จะช่วยระบุตัวตนแรงงานโดยไม่ขึ้นกับสัญชาติหรือเอกสารทางราชการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเชื่อมกับฐาน HINT เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามการรักษา ควบคุมโรค และตรวจสอบสิทธิ์ประกันได้
พญ.ณัฐกานต์ เสนอว่า ควรออกแบบ “สถานะแรงงานแบบมีเงื่อนไข” เช่น
- ปีแรกเป็นสถานะ “สีแดง” (ต้องตรวจสอบ)
- หากไม่มีปัญหา จึงปรับสถานะเป็น “สีเขียว“
แนวคิดนี้จะช่วยให้รัฐสามารถควบคุมและคุ้มครองแรงงานพร้อมกัน
“เราควรมองแรงงานข้ามชาติไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพื่อนร่วมระบบเศรษฐกิจที่ต้องอยู่ร่วมกันบนหลักสิทธิมนุษยชน” พญ.ณัฐกานต์ กล่าว
การปิดศูนย์พักพิง ทางออกระยะยาวหรือภาพฝัน?
หนึ่งในเป้าหมายเชิงนโยบายที่เริ่มถูกพูดถึงคือ “การยุติศูนย์พักพิงผู้หนีภัย” หากสามารถขึ้นทะเบียนแรงงานได้ครบถ้วน แต่ในทางปฏิบัติ การปิดศูนย์ยังเป็นโจทย์ซับซ้อน เพราะต้องพิจารณาความปลอดภัยของผู้หนีภัย การยอมรับของรัฐบาลเมียนมา และบทบาทของ UNHCR
หมอเบียร์ชี้ว่า หากเมียนมายอมรับแรงงานกลับและมีการประกันความปลอดภัย ไทยสามารถทยอยส่งกลับโดยสมัครใจได้ คล้ายกับกรณีเขมรแดงในอดีต แต่หากสถานการณ์ยังไม่เอื้อ การปิดศูนย์ในทันทีอาจนำไปสู่ปัญหามนุษยธรรมใหม่
เสนอจัดตั้ง “กองทุนความมั่นคงสุขภาพชายแดน”
ในเวทีระดับชาติเมื่อเดือนกันยายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอแนวคิดจัดตั้ง “กองทุนความมั่นคงสุขภาพชายแดน” เพื่อรองรับภาระงบประมาณที่ลดลงหลังโครงการต่างประเทศ เช่น USAID หยุดสนับสนุน
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) อธิบายว่า กองทุนนี้จะระดมงบจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อดูแลสุขภาพประชากรชายแดนทั้งไทยและต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง
“เราต้องสร้างระบบการเงินสุขภาพที่ยืดหยุ่น และไม่ผูกติดกับความช่วยเหลือต่างประเทศ เพราะสุขภาพชายแดนคือด่านหน้าแห่งความมั่นคงของชาติ” นพ.ศุภกิจ กล่าว
ชายแดนไทย–เมียนมาไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งประเทศ แต่ยังเป็นแนวหน้าด้านมนุษยธรรมของภูมิภาค การบริหารแรงงานต่างด้าวและผู้หนีภัยจึงต้องคำนึงทั้งสิทธิและความปลอดภัยของผู้คน พร้อมกันนั้นก็ต้องสร้างสมดุลไม่ให้โรงพยาบาลภาครัฐแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเกินศักยภาพ จนกระทบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนไทย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: