ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา ล่าสุดกับเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2564 ซ้ำเติมทำให้มีผู้คนจำนวนมากต้องหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย
ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวกว่า 2,400 กิโลเมตร กลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของผู้หนีภัยเหล่านี้ ปัจจุบันมีผู้หนีภัยจากเมียนมากว่า 200,000 คนอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศที่เคยให้การสนับสนุนในการดูแลผู้หนีภัย อย่าง International Rescue Committee (IRC) ได้ประกาศยุติการให้บริการเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตัดงบประมาณการช่วยเหลือ ตามนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First) ทำให้ประเทศไทยต้องรับดูแลผู้หนีภัยเหล่านี้เต็มตัว
สถานการณ์นี้ได้กลายเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับระบบบริหารจัดการด้านมนุษยธรรมของไทย และเป็นโอกาสในการปรับปรุงระบบการจัดการแรงงานข้ามชาติที่มีอยู่เดิม ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลที่ผ่านมาพยายามแก้ปัญหา แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ดังนั้น รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทยจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบยังไม่ยุติได้โดยง่าย
การเตรียมความพร้อมของรัฐบาลไทย
สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความพร้อมในการรับผิดชอบดูแลผู้หนีภัยเหล่านี้อย่างเป็นระบบ โดยได้ขอจัดสรรงบประมาณกลางประมาณ 160 ล้านบาทเพื่อรองรับการดูแลผู้หนีภัยกว่า 200,000 คน ที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 7 แห่งใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี
งบประมาณส่วนนี้จะใช้สำหรับการดำเนินการในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน 12 เดือน (1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2569) เพื่อให้การบริการสาธารณสุขและการดูแลพื้นฐานสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการดูแลผู้หนีภัยในพื้นที่พักพิง รัฐบาลยังมองเห็นถึงโอกาสในการบูรณาการกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้หนีภัยเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายและลดภาระทางการเงินด้านสาธารณสุขในระยะยาว
ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายประมาณ 2.2 ล้านคน แต่ยังมีอีกกว่า 1 ล้านคนที่อยู่ในสถานะผิดกฎหมายและไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน กลุ่มผู้คนเหล่านี้มักจะหลบเลี่ยงการขึ้นทะเบียนเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายหรือเพราะความไม่เข้าใจในกระบวนการ
รมว.สธ. ระบุว่าการขาดระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพสำหรับกลุ่มแรงงานที่ไม่มีเอกสารนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ เมื่อแรงงานเหล่านี้เจ็บป่วยหรือต้องการการรักษาพยาบาล พวกเขามักจะเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐโดยไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายได้ ทำให้เกิดภาระขาดทุนของระบบสาธารณสุขประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี
ความเหลื่อมล้ำในการจัดการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือความไม่สมดุลระหว่างเบี้ยประกันที่แรงงานต่างด้าวชำระกับค่าใช้จ่ายจริงในการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนสามารถซื้อประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวของกระทรวงสาธารณสุขในอัตราประมาณ 1,700 บาทต่อคนต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจริงในการดูแลสุขภาพมีค่าใกล้เคียงกับการดูแลคนไทยในระบบบัตรทอง 30 บาท ซึ่งรัฐใช้เงินภาษีเฉลี่ยเกือบ 4,000 บาทต่อหัวต่อปี
ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นว่าระบบประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายจริง และเมื่อรวมกับจำนวนแรงงานที่ไม่ได้ทำประกันจำนวนมาก ทำให้ระบบเกิดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ปลดล็อกผู้หนีภัยทำงานนอกค่าย ซื้อประกันสุขภาพรัฐ
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 อนุญาตให้ “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)” สามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดการปัญหา โดยนโยบายนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานอย่างถูกกฎหมาย มีรายได้ และเข้าระบบประกันสุขภาพของภาครัฐ
การอนุญาตให้ผู้หนีภัยทำงานจะช่วยแก้ไขปัญหาคือ 1. ผู้หนีภัยจะมีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพและไม่ต้องพึ่งพาการสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว 2. เมื่อเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกกฎหมาย พวกเขาจะสามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ ประการที่สาม การมีแรงงานเพิ่มขึ้นจะช่วยเสริมกำลังการผลิตของประเทศในสาขาต่าง ๆ
ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอแนวทางการดูแลด้านสาธารณสุขสำหรับผู้หนีภัยใน 2 รูปแบบหลัก เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
1.หลักประกันสุขภาพเหมาจ่ายรายหัว (Health Insurance Model)
การจัดทำระบบหลักประกันสุขภาพเหมาจ่ายรายหัวสำหรับผู้หนีภัย โดยใช้เกณฑ์จากประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2568 เป็นแนวทางในการคิดค่าเหมาจ่าย วิธีการนี้จะช่วยลดผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ และทำให้การวางแผนงบประมาณมีความแน่นอนมากขึ้น
ระบบเหมาจ่ายรายหัวจะช่วยให้หน่วยงานสาธารณสุขสามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายและวางแผนการให้บริการได้ดีขึ้น แทนที่จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอนเช่นในปัจจุบัน
2.ศูนย์สุขภาพชายแดน (Border Health Center : BHC)
การจัดตั้งศูนย์สุขภาพชายแดนเพื่อลดผลกระทบด้านภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไทย และลดข้อจำกัดการเข้าถึงบริการสุขภาพจากอุปสรรคด้านภาษา ศูนย์เหล่านี้จะจ้างบุคลากรต่างชาติเป็นผู้ให้บริการ และพัฒนาศักยภาพพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.)
การจัดตั้งศูนย์สุขภาพชายแดนจะช่วยแก้ไขปัญหาการสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างงานให้กับแรงงานต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถในด้านการแพทย์และสาธารณสุข
สุขภาพของคนชายแดนเป็นเรื่องของทุกคน
สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ข้อมูลล่าสุดระบุว่า อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในพื้นที่นี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศมาก โดยหากนับรวมประชากรต่างด้าวที่ไร้เอกสารด้วย อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรจะอยู่ที่ประมาณ 1:1,927 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ภาระงานที่หนักอึ้งตกอยู่กับบุคลากรทางการแพทย์ไทยที่ต้องทำงานเกินกำลังเพื่อดูแลทั้งคนไทยและผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน
ข้อมูลจากโรงพยาบาลแม่สอดแสดงให้เห็นว่ามีประชากรไทยในอำเภอแม่สอด 117,254 คน แต่มีประชากรต่างด้าวประมาณ 204,676 คน หมายความว่าประชากรต่างด้าวมีจำนวนมากกว่าประชากรไทยเกือบสองเท่า
ขณะที่ข้อมูลจากจังหวัดตากแสดงให้เห็นว่า คนไทยที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมาย สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลและเบิกชดเชยจากกองทุนที่รับผิดชอบได้ครบถ้วน ปัญหาจึงอยู่ที่กลุ่มประชากรต่างด้าวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งมีจำนวนที่ไม่ทราบแน่นอนเนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา
นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหา
การขาดระบบการระบุตัวตนที่มีประสิทธิภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติส่งผลกระทบต่อการควบคุมโรคอย่างมาก เมื่อเกิดการระบาดของโรคติดต่อ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามผู้ป่วยหรือผู้ที่สัมผัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคที่เป็นความกังวล เช่น วัณโรค โรคเท้าช้าง โปลิโอ และโรคติดต่ออื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสาธารณสุขของประชาชนโดยรวม
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบุตัวตนของแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสาร ไม่ได้ขึ้นทะเบียน กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทยและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการพัฒนาระบบ Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) ที่ใช้เทคโนโลยีการสแกนม่านตาและการจดจำใบหน้า
เทคโนโลยีการรู้จำลายม่านตา (Iris Recognition) ที่ใช้ในระบบนี้มีความแม่นยำสูงถึง 99.75% และสามารถปลอมแปลงได้ยากมาก ทำให้เหมาะสมกับการระบุตัวตนสำหรับประชากรที่ไม่มีเอกสารประจำตัว ระบบนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามและจัดการการให้บริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการควบคุมและป้องกันโรคระบาดได้ดีขึ้น
การดำเนินการเริ่มต้นจากการนำร่องในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ตาก และแม่ฮ่องสอน รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนที่รับตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ในจังหวัดตาก การดำเนินการได้เริ่มต้นแล้ว โดยมีการยืนยันตัวตนประชากรต่างด้าวผ่านระบบ TRCBAS แล้วจำนวน 7,616 คน
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบแรงงานต่างชาติให้ชัดเจนมากขึ้นในอนาคต การดำเนินการนี้จะรวมถึงการขึ้นทะเบียนที่เป็นระบบมากขึ้น และการใช้ระบบระบุตัวตนขั้นสูง เช่น iris scan ร่วมกับสภากาชาดไทย ซึ่งพัฒนาระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ ช่วยให้การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลจะสามารถเข้าถึงได้จากทุกจุดบริการ ทำให้การให้บริการรวดเร็วและแม่นยำ
สร้างความร่วมมือหน่วยงานในประเทศ-ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับหน่วยงานระหว่างประเทศหลายองค์กร เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และกองทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้หนีภัย
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือนั้นมีความสำคัญต่อความยั่งยืนและต่อเนื่องของโครงการ เนื่องจากการดูแลผู้หนีภัยเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบของประเทศไทยฝ่ายเดียว การมีส่วนร่วมระหว่างประเทศ จะช่วยแบ่งเบาภาระและนำมาซึ่งความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่จำเป็น
ขณะที่การแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติและผู้หนีภัยต้อง การร่วมมือจากหลายหน่วยงานภายในประเทศด้วยเช่นกัน นายสมศักดิ์ ได้อธิบายบทบาทของหน่วยงานหลักดังนี้
กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลการขึ้นทะเบียนแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับ “เลขประจำตัว” แม้จะไม่ใช่บัตรประชาชน แต่สามารถใช้ติดตามและกำกับได้
สภากาชาดไทย รองรับแรงงานหรือผู้หนีภัยที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน โดยให้สามารถเข้าถึงการดูแลพื้นฐานและระบบระบุตัวตน
กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบเรื่องการรักษาพยาบาลและการควบคุมโรค ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ เพราะหากไม่มีระบบตัวเลขหรือตัวตนที่ชัดเจน การติดตามและควบคุมโรคจะทำได้ยาก
ทางออกที่ยั่งยืน จากวิกฤตสู่โอกาส
สถานการณ์ผู้หนีภัยและแรงงานข้ามชาติเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องเผชิญในระยะยาว การปล่อยให้ผู้คนจำนวนมหาศาลอยู่นอกระบบ นอกจากจะสร้างภาระทางการเงินและเป็นความเสี่ยงด้านสาธารณสุขแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ได้อีกด้วย
การที่รัฐบาลไทยตัดสินใจรับผิดชอบภารกิจนี้อย่างเต็มตัว ไม่เพียงแต่แสดงถึงเจตจำนงด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็นโอกาสในการปฏิรูปการจัดการประชากรข้ามชาติครั้งใหญ่
การจัดระเบียบที่ครอบคลุมตั้งแต่การขึ้นทะเบียนไปจนถึงการเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ทั้งหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และแม้กระทั่งภาคประชาสังคม
การปรับโครงสร้างค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้สะท้อนกับค่าใช้จ่ายจริง การสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในลักษณะที่เคารพสิทธิมนุษยชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดว่าประเทศไทยจะสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนและเป็นธรรมได้หรือไม่
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง