ในช่วงเดือนกันยายน 2568 ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งกรณี บุคคลพลัดตกจากอาคารสูงในห้างกลางกรุง และกรณี นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “วันดี ศรีนคร” แขวนคอเสียชีวิตในบ้านพัก เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศกในครอบครัวและวงการบันเทิง แต่ยังสะท้อนถึง สัญญาณความเปราะบางทางสุขภาพจิตของสังคมไทย ที่กำลังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ ความถี่ของเหตุการณ์ และ รูปแบบการเลียนแบบพฤติกรรม (Copycat Suicide) โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับบุคคลมีชื่อเสียงหรือสถานที่สาธารณะ ซึ่งอาจก่อให้เกิด “ปรากฏการณ์ระบาดทางสังคม” ที่ยากต่อการควบคุม
สถานการณ์การฆ่าตัวตาย ปัญหาสังคมต้องตื่นตัว
ประเทศไทยมีสถิติการฆ่าตัวตายที่อยู่ในระดับสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ในบางปีตัวเลขรวมอาจดู “ทรงตัว” แต่การวิเคราะห์เชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยเสี่ยงและแรงกดดันต่อชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจและความมั่นคงในการทำงาน: ค่าใช้จ่ายสูง หนี้ครัวเรือนพุ่ง คนจำนวนมากรู้สึกหมดทางออก
- ความสัมพันธ์และครอบครัว: ปัญหาความขัดแย้ง หย่าร้าง การถูกทอดทิ้ง
- สุขภาพจิตเรื้อรัง: โรคซึมเศร้า วิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งหลายกรณียังไม่ได้รับการรักษา
- แรงกดดันทางสังคมออนไลน์: การเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น การถูกบูลลี่ หรือการเสพสื่อข่าวที่นำเสนอการฆ่าตัวตายแบบไม่เหมาะสม
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า 1 ใน 8 ของประชากรโลกเผชิญปัญหาสุขภาพจิต และแต่ละปีมีคนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 700,000 คน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของโลก
ปรากฏการณ์ “เลียนแบบฆ่าตัวตาย”
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า เหตุพลัดตกจากอาคารสูงต่อเนื่อง มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการทำร้ายตนเอง และเข้าข่าย “การเลียนแบบฆ่าตัวตาย” (Copycat Suicide) ซึ่งเคยถูกบันทึกไว้ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง
ในทางจิตวิทยา การเลียนแบบเกิดจากการที่บุคคลเปราะบาง รู้สึกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์หรือบุคคลที่เป็นข่าว จึงมองว่าการตัดสินใจเช่นนั้นอาจเป็น “ทางออก” ของตนเอง ปรากฏการณ์นี้ยิ่งรุนแรงหากสื่อมวลชน นำเสนอรายละเอียดเชิงวิธีการ สถานที่ หรือภาพที่สะเทือนใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ชม
ดังนั้น หน่วยงานด้านสุขภาพจิตจึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของ แนวทางการรายงานข่าวเชิงสร้างสรรค์ (Responsible Reporting) ที่ต้องให้ความสำคัญกับ “ชีวิตที่ยังอยู่” มากกว่าการโรแมนติไซส์ความตาย
กรมสุขภาพจิต ปรับมาตรการ “รับมือ” สู่ “ป้องกันเชิงรุก”
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินมาตรการหลายประการ ได้แก่
- ขยายสายด่วนสุขภาพจิต 1323: จาก 15 คู่สาย เป็น 60 คู่สายทั่วประเทศ เพื่อรองรับผู้โทรเข้าขอคำปรึกษามากขึ้น
- มาตรการด้านกายภาพ: เสนอให้หน่วยงานที่มีอาคารสูงติดตั้งราวกันตกสูงอย่างน้อย 1.1 เมตร ใช้แผงกั้นหรือตาข่ายนิรภัย และติดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์สายด่วนในพื้นที่เสี่ยง
- การอบรมบุคลากร: ให้พนักงานทุกระดับในสถานที่สาธารณะรู้จักสังเกตสัญญาณเตือน และมีทักษะเจรจาโน้มน้าวผู้มีความเสี่ยง
- ควบคุมพื้นที่หลังเกิดเหตุ: เพื่อลดการเข้าถึงของประชาชนและสื่อ และป้องกันไม่ให้สถานที่นั้นกลายเป็น “แลนด์มาร์กการฆ่าตัวตาย”
มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับจากการ “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ไปสู่การ “สร้างระบบเฝ้าระวังเชิงรุก”
HOPE Task Force โมเดลความร่วมมือข้ามภาคส่วน
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่าง กรมสุขภาพจิต, ตำรวจสอบสวนกลาง , แพลตฟอร์มออนไลน์ (Meta/Facebook), อินฟลูเอนเซอร์สาธารณะ เช่น Drama-Addict, หมอแล็บแพนด้า และองค์กรภาคประชาสังคม ได้ก่อให้เกิดโครงการ HOPE Task Force
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือ ช่วยเหลือผู้มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้กว่า 1,129 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญและพิสูจน์ว่า “การบูรณาการข้อมูลและการทำงานเป็นเครือข่าย” มีพลังมหาศาลกว่าการทำงานแบบแยกส่วน
โครงการนี้ยังแสดงให้เห็นว่า โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นเพียงแหล่งปัญหา แต่สามารถกลายเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต หากมีระบบการคัดกรองสัญญาณเตือน (เช่น การโพสต์ข้อความสิ้นหวัง) และเชื่อมโยงผู้โพสต์เข้าสู่เครือข่ายช่วยเหลือ
กฎหมายและสิทธิมนุษยชน ลดการตีตราผู้ป่วยจิตเวช
กรมสุขภาพจิตย้ำว่า โรคทางจิตเวชเป็นโรคที่รักษาได้ ไม่ต่างจากโรคทางกาย แต่สังคมไทยยังมี “อคติ” และ “การตีตรา” ที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่กล้าเข้ารับการรักษา
พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ได้กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ป่วย เช่น
- สิทธิในการเข้าถึงการรักษา
- การรักษาความลับข้อมูล
- การไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
แต่ในทางปฏิบัติ การลดการตีตรายังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องอาศัยทั้ง สื่อมวลชน ครอบครัว และชุมชน ในการสร้างความเข้าใจ
“บัตรทอง” ยกระดับบริการสุขภาพจิตครบวงจร
ปัญหาสุขภาพจิตที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ บอร์ด สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) มีมติอนุมัติ บริการสุขภาพจิตครบวงจร โดยจัดสรรงบประมาณ 73.34 ล้านบาท สำหรับจัดตั้ง ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต ทั้งในและนอกระบบ ตั้งเป้าให้บริการกว่า 470,000 ครั้งในปี 2568
จุดที่น่าสนใจคือ การเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทเป็น “หน่วยบริการตามมาตรา 3″ ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งหมายความว่า องค์กรเอกชนหรือภาคประชาชนที่มีประสบการณ์ด้านสุขภาพจิต สามารถขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการอย่างเป็นทางการได้
นโยบายนี้สะท้อนถึงความพยายามในการ แก้ปัญหาบุคลากรและทรัพยากรไม่เพียงพอ โดยใช้พลังของชุมชนเข้ามาร่วมเสริม
ปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมสังคมไทย
แม้จะมีมาตรการหลายด้าน แต่ปัญหาการฆ่าตัวตายในไทยยังคงเป็น โจทย์เชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม
- บุคลากรสุขภาพจิตไม่เพียงพอ จิตแพทย์ไทยมีเพียงไม่กี่พันคน ไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่มีความเสี่ยงหลายล้านคน
- ความเหลื่อมล้ำด้านบริการ พื้นที่ต่างจังหวัดและชนบทเข้าถึงบริการยาก
- วัฒนธรรม “เก็บปัญหาไว้คนเดียว” คนไทยจำนวนมากยังไม่กล้าเล่าความทุกข์ใจ เพราะกลัวเสียหน้า ถูกตัดสิน หรือถูกมองว่าเป็น “คนบ้า”
- แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคม หนี้สิน ความไม่มั่นคงทางอาชีพ และความกังวลต่ออนาคต กลายเป็นตัวเร่งสำคัญ
การแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายไม่สามารถพึ่งพาเพียงหน่วยงานรัฐ ต้องอาศัย แนวคิด Whole-of-Society Approach หรือ “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน”
- ระดับครอบครัว เปิดพื้นที่การสื่อสาร รับฟังโดยไม่ตัดสิน
- ระดับชุมชน สร้างเครือข่ายอาสาสมัครสุขภาพจิต (Mind First Aid) ที่ช่วยดูแลคนเปราะบาง
- ระดับสื่อมวลชน รายงานข่าวอย่างรับผิดชอบ งดการลงรายละเอียดวิธีการ และเน้นการให้ข้อมูลช่องทางขอความช่วยเหลือ
- ระดับนโยบาย ขยายการลงทุนด้านสุขภาพจิต เพิ่มจำนวนจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และพัฒนาบริการสุขภาพจิตออนไลน์
- ระดับสังคมออนไลน์ พัฒนาเครื่องมือ AI และระบบแจ้งเตือนบนแพลตฟอร์ม เพื่อคัดกรองผู้ที่เสี่ยงและเชื่อมโยงเข้าสู่การช่วยเหลือ
ความตายที่เรียกร้อง “ชีวิตที่ดีกว่า”
เหตุการณ์การฆ่าตัวตายที่ปรากฏถี่ขึ้น ไม่ควรถูกมองเพียงเป็น “ข่าวเศร้า” ที่ผ่านไปแต่เป็น สัญญาณเตือนเชิงโครงสร้าง ว่าสังคมไทยกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพจิตที่ลึกซึ้งและซับซ้อน
กรณีการจากไปของศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง “วันดี ศรีนคร” และกรณีอื่นๆ ที่ไม่ปรากฎเป็นข่าวอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ แต่คำถามใหญ่ก็คือ สังคมไทยพร้อมหรือยังที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตสุขภาพจิตอย่างจริงจัง
เพราะทุกชีวิตมีคุณค่า และการป้องกันการฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องร่วมกันของทั้งครอบครัว ชุมชน สื่อ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อสร้าง “สังคมแห่งความหวัง” ที่ไม่มีใครต้องเผชิญความทุกข์เพียงลำพัง
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง