ThaiPBS Logo

โลกรวน เพิ่มความรุนแรงภัยพิบัติ : 4 เรื่องเร่งด่วนเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง

23 ธ.ค. 256714:54 น.
โลกรวน เพิ่มความรุนแรงภัยพิบัติ : 4 เรื่องเร่งด่วนเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จากภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหลายภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วประเทศได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล ทั้งยังเป็นคำเตือนให้ประเทศไทยเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในอนาคต

เมื่อมาดูสถานการณ์ความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยโลกรวน จากสถิติ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2543-2562 จะพบว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงเป็นอันดับ 9 จากภาวะโลกรวน และเกิดอากาศวิปริต 146 ครั้ง สร้างความเสียหายเป็นจำนวน 7.7 พันล้านดอลลาร์/ปี ซึ่งในอนาคต ประเทศไทยจะเจอกับ 4 ภัยอันตรายใหญ่ ดังต่อไปนี้

  • ทะเลสูง แผ่นดินต่ำ
  • น้ำท่วมแรง
  • แห้งแล้งจัด
  • วิบัติคลื่นร้อน

นี่เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับประเทศไทยที่  สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่าจะต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ เพราะขณะนี้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จึงเสนอ 4 เรื่องด่วนที่ควรต้องทำในสภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ดังนี้

4 เรื่องด่วนที่ต้องทำในสภาวะโลกรวน

1.สร้างแรงงานใหม่ทดแทนงานกลางแจ้ง เนื่องจากการทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานานในวันที่อากาศร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส อาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงต้องเร่งสร้างงานแบบใหม่ขึ้นมา และเปิดโอกาสให้คนที่ทำงานกลางแจ้งย้ายไปทำงานที่อื่น

อย่างไรก็ตาม ยังต้องกลับมาคิดทบทวนในเรื่องการปรับตัวออกจากภาคการเกษตร หรือการใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรมที่ทนร้อนหรือความแล้งได้ พร้อมทั้งเรื่องการคิดต้นทุนค่าน้ำ

 

2.ปรับปรุงเมืองลดความเสี่ยง จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายเมืองในประเทศไทยมีความเสี่ยงเรื่องการเกิดภัยพิบัติหลายด้าน เช่น อากาศร้อนทำให้คนเสียชีวิตจากการไม่มีที่ให้หลบภัย หรือเมืองที่ติดทะเลก็จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมีแผนในการรับมือที่ดี คือ “เมืองต้องมีขีดความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้น” โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานหลายแบบมาผสมผสานกัน ดังนี้

โครงสร้างพื้นฐานทางโยธา (คอนกรีต) ผสมผสานโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น มาประกอบกัน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานสีน้ำเงิน คือใช้แหล่งน้ำ มีที่กักเก็บน้ำ มีที่รองรับ-ระบายน้ำ และพื้นที่สีขาว คือพื้นที่ที่ห้ามก่อสร้าง ซึ่งต้องมีการคิดทบทวนเรื่องผังเมืองกันครั้งใหญ่

ในส่วนของการสร้างกำแพงกั้นทะเล ก็จะต้องศึกษาให้รอบด้านมากขึ้น เพื่อให้มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหรือชุมชนน้อยที่สุด เพราะเมื่อน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง และน้ำทะเลสูงขึ้น จะทำให้กรุงเทพตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และปริมณฑล อาจจมน้ำทะเลได้ และจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศมหาศาล เพราะในส่วนนี้คือบริเวณที่มีระดับของ GDP ถึง 30% ของประเทศไทย จึงต้องเร่งศึกษาหาทางเลือกในการหลีกเลี่ยงความสูญเสียนี้อย่างรอบด้าน

ขณะเดียวกัน เรื่องของการย้ายเมืองหลวง ก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับรัฐบาลที่จะต้องนำมาเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาเมืองจมทะเลนี้ ซึ่งจะต้องศึกษาถึงความคุ้มค่าในการหาทางออก และต้องให้คำตอบในการแก้ไขปัญหานี้ไม่นานเกินไป เพราะการปรับตัวต้องใช้เวลา 20 ปี ขึ้นไป ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ และดำเนินการอย่างรอบคอบที่สุด

 

3.พัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติที่ลดความเสี่ยง

สิ่งสำคัญที่ทำให้การรับมือกับภัยพิบัติมีประสิทธิภาพคือ การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการประเมินความเสี่ยงของแต่ละจุด การประเมินในเชิงพื้นที่ที่ดี และการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำ จากความเข้มแข็งของหน่วยงานท้องถิ่นจะทำให้มีอำนาจในการแก้ไขในพื้นที่ได้ดี เพราะคนเหล่านี้คือคนที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งรู้ปัญหาดีที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะเสนอให้มีการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นสำหรับการรับมือกับภัยพิบัติ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องทำงานอย่างไรให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ในระยะสั้นสำหรับการบริหารวิกฤตภัยธรรมชาติในพื้นที่ ก็จะต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น Super CEO ที่สามารถให้ทั้งคุณและโทษข้าราชการในพื้นที่ พร้อมทั้งสามารถทำงานบูรณาการได้ จึงจะแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ

ส่วนในระยะยาว ต้องมองถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้ผู้ว่าฯมีความเชื่อมโยงกับประชาชน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการที่ผู้ว่าฯ จะต้องโยกย้ายไป-มา ทำให้ไม่มีความเข้าใจในพื้นที่ และไม่มีความสัมพันธ์ต่อไปประชาชน ซึ่งถ้าผู้ว่าฯมาจากการเลือกตั้ง ประเทศไทยก็จะสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้เหมือนหลาย ๆ ประเทศในโลก

 

4.เตรียมเงินทุนเพื่อการปรับตัว ประเทศไทยยังขาดการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต ต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีการวางแผนเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรสงวนเงินเพื่อใช้ในสถานการณ์จำเป็น แทนที่จะใช้จ่ายในโครงการที่ไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะในอนาคตอาจต้องใช้เงินจำนวนมากเมื่อเกิดภาวะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ ซึ่งจะต้องใช้ระบบประกันภัยเข้ามาอุ้ม ซึ่งจะต้องดูว่าทำอย่างไรให้คนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงให้ได้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตอย่างเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับเวทีโลกได้

“ข้อเตือนใจคือ รัฐบาลจะต้องสงวนเม็ดเงิน อย่าเอาเงินไปแจกหรือดำเนินโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะไม่มีผลบวกทางเศรษฐกิจได้ดีพอ ให้เก็บเงินใช้ไว้ในยามจำเป็น”

 

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้มีการเก็บภาษีการปล่อยคาร์บอน เพื่อจัดตั้งกองทุน Green Transition & Adaptation Fund สำหรับช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดเล็ก และกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนการปรับตัวต่อสภาพโลกร้อน โดยเริ่มจากการเก็บภาษีในอัตราต่ำและเพิ่มขึ้นในอนาคต จากตัวอย่างทางยุโรปที่จัดเก็บภาษีคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งวางระบบนี้เพื่อสร้างความมั่นคงและความพร้อมสำหรับรับมือวิกฤตในระยะยาว

“อย่างในยุโรป คาร์บอน 1 ตัน เก็บภาษีอยู่ที่ประมาณเกือบ 100 ยูโร สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีการเก็บ แต่กรมสรรพสามิตเริ่มแนวคิดที่จะทำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี

อย่างไรก็ตาม คงต้องทำเป็นภาษีคาร์บอนแบบเต็มรูปแบบ แล้วค่อย ๆ ทยอยเก็บ จากอัตราต่ำ ๆ เช่น แต่ละตัน เก็บที่ 4-5 ดอลลาร์ แล้วค่อยเพิ่มขึ้น จากนั้นเอาเงินที่เก็บได้ไปช่วยให้คนไทยพร้อมปรับตัวมากยิ่งขึ้น”

 

 

ทั้งนี้ ข้อเสนอที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการเป็นเวลานาน หมายความว่าจะต้องรีบวางแผนตั้งแต่วันนี้ และหาทางออกที่เป็นขั้นเป็นตอนมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นแกนสำคัญในการวางแผนหรือการแก้ไขปัญหาร่วมกับชุมชนและภาคธุรกิจ เพื่อลดความเสียหายและเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูให้ดีขึ้นในระยะยาวสำหรับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่คนไทยกับลังเผชิญในขณะนี้และในอนาคตข้างหน้าอีกด้วย

 

 

 

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยเฉพาะการแก้ปัญหา PM 2.5 และการบริหารจัดการน้ำ  

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ คือ ปัญหาที่ไทยและทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามหาทางรับมือแก้ไข โดยรัฐบาลประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยในปี 2567 ได้เข้าร่วมประชุม COP29 เพื่อแสดงบทบาทความร่วมมือกับประชาคมโลก

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ทรัพยากรน้ำ

การบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำในระยะ 20 ปี

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: