การประชุม COP30 (2025 United Nations Climate Change Conference) ที่เมืองเบเล็ง บราซิล ระหว่าง 10–21 พ.ย. 2025 จะมีประเด็นผลักดันพิเศษคือ เรื่อง “การมีส่วนร่วมของป่าไม้เขตร้อน” (Tropical Forests Involvement) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการประชุม เนื่องจากบราซิลเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดการประชุม COP30 ในครั้งนี้ และตั้งอยู่ในภูมิภาคแอมะซอนซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศเขตร้อนของโลก
นอกเหนือจากแอมะซอน ยังมีการรวบรวมป่าเขตร้อนในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อทำให้ประเทศเจ้าของป่ามีบทบาทมากขึ้นในฐานะผู้ปกป้องคาร์บอนของโลก และได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม โดยมีการจัดตั้งพันธมิตรป่าไม้เขตร้อน (Three Basins Initiative) ระหว่างแอมะซอน คองโก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Coalition of the Three Basins) อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมมือด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาการเงินเพื่อป่าไม้เขตร้อน (Tropical Forest Finance) และสร้างอำนาจการเจรจาและต่อรองทำให้แอมะซอน–คองโก–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะได้รับความสำคัญ COP30 ครั้งนี้
ป่าฝนหลักของโลก และบทบาทในการประชุม COP30

นอกจากนี้ ในการประชุม COP30 จะมีการประกาศแผนการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศที่แต่ละประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) ชุดใหม่ (ปี 2025–2035) ของทุกประเทศ และการพูดคุยในประเด็นสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อนๆ ได้แก่ การจัดตั้งกลไกการเงินใหม่ New Collective Quantified Goal (NCQG) การดำเนินการตามข้อตกลง Loss and Damage Fund การเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด (Just Energy Transition)
ทำไม “ป่าไม้เขตร้อน” จึงสำคัญใน COP30
ป่าไม้เขตร้อน (Tropical Forests) ใน แอมะซอน–คองโก–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกันกว่า 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 6.88 พันล้านไร่) เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนมากที่สุดในโลก หรือ ประมาณ 4-5 พันล้านตัน CO2 เทียบเท่า (GtCO2eq) /ปี
ป่าเขตร้อน 3 แห่งดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายและเปลี่ยนใช้ที่ดิน (deforestation) เพื่อเกษตรกรรม เหมือง และพลังงานชีวภาพ และกำลังทำให้ป่าเขตร้อนเป็นแหล่งปล่อย CO2 สุทธิ (Net Positive Carbon Source)
บราซิล อินโดนีเซีย และคองโก เป็น 3 ประเทศที่มีการปล่อย CO2 จากการตัดไม้เพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด (Land-Use Change Emission) ประมาณ 2.5 GtCO2eq/ปี หรือประมาณ 60%
ประเด็นด้านการเงินป่าไม้
1. Tropical Forest Finance Mechanism
- จะมีการเสนอให้จัดตั้งกองทุนป่าไม้เขตร้อนเพื่ออนาคต (Tropical Forests Forever Fund: TFFF) เป็นกองทุนเฉพาะสำหรับประเทศป่าเขตร้อน
- แหล่งเงินทุน: กลไกการเงินใหม่ (NCQG), ภาษีคาร์บอนระหว่างประเทศ, กลไก Article 6.2 และ 6.4 ของข้อตกลงปารีส โดยตั้งเป้าหมายเงินทุน 250 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
- หลักเกณฑ์: ต้องรักษาพื้นที่ป่าเดิมอย่างน้อย 90%, ต้องมีระบบ MRV (Monitoring, Reporting, Verification) ที่โปร่งใส
2. กลไกคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้ (REDD+ 2.0)
- ชุมชนท้องถิ่นจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากคาร์บอนเครดิต
- ผลักดันและสนับสนุนการใช้ดาวเทียมและ AI เพื่อตรวจสอบพื้นที่ป่า
- เรียกร้องการกำหนดราคาคาร์บอนขั้นต่ำสำหรับคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ 30 – 50 USD/tCO2eq ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายในประเทศไทยราว 4.25 เท่า
ASEAN Joint Declaration on Climate Action ที่จะผลักดัน ASEAN Climate Action Framework 2030 ในการประชุม COP30 ที่จะเป็นผลดีต่ออาเซียนและประเทศไทย
โอกาสสำหรับไทย

ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าถึงกองทุน NCQG, นำป่าเขตร้อนไปรวมในกลไก Article 6 ของข้อตกลงปารีส และการเชื่อมโยงการค้าคาร์บอนในภูมิภาค ผ่านการมีส่วนร่วมในเครือข่าย ASEAN Joint Declaration on Climate Action ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มุ่งให้ 10 ประเทศอาเซียนเดินหน้าลดคาร์บอน ปรับตัว และเข้าถึงเงินทุนสีเขียวร่วมกัน ที่จะผลักดัน ASEAN Climate Action Framework 2030 ในการประชุม COP30 ที่จะเป็นผลดีต่ออาเซียนและประเทศไทย
ที่มา: ป่าฝนเขตร้อน ประเด็นสำคัญการประชุม COP30 ปี 2025
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




