องค์กร Corpernicus ออกรายงาน Ocean State Report ปีที่ 9 เพื่อติดตามดูสถานะและความเป็นอยู่ของสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล โดยพื้นท้องทะเลและมหาสมุทรมีหน้าที่เป็นเครื่องรับแรงปะทะธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการดูดรับความร้อนและช่วยปรับสมดุลสภาพภูมิอากาศ แต่ขณะนี้ ไม่มีที่ไหนในท้องทะเลหรือมหาสมุทรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
United Nation ใช้คำว่า Triple Planetary Crisis เพื่ออธิบายถึงสภาพแวดล้อมที่โลกต้องเผชิญอยู่อย่างสาหัส โดยมีสามสิ่งที่กำลังส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรอย่างมากคือ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และมลพิษ (Pollution)
ทะเลทั่วโลกขาดสมดุล-ไม่สมบูรณ์
หลายปัจจัยสร้างความแปรปรวนให้ท้องทะเลและมหาสมุทร ความไม่ปกติเหล่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ทะเล Mediterranean เจอกับคลื่นความร้อน (Marine heatwave) ที่มีสถิติยาวนานที่สุด อุณหภูมิน้ำทะเลในช่วงนั้นสูงกว่าระดับปกติถึง 4.3°C ในระหว่างเดือนพ.ค. ปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 หรือจะเป็นระดับน้ำทะเลทั่วโลกที่สูงขึ้น 23 ซ.ม. ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1901 ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงให้กับพื้นที่และเศรษฐกิจชายฝั่ง แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทำให้พลาสติกไหลลงทะเลมากขึ้น
ความไม่สมดุลต่างๆ ยังทำให้ค่าความเป็นกรดในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วง 39 ปีที่ผ่านมา และประมาณ 10% ของพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพกำลังเผชิญกับสภาวะความเป็นกรดของทะเลในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก
นอกจากนี้ โลกยังเจอกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวทั่วโลกครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 2024 นับจากครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ซึ่งตอนนี้มี 44% ของสายพันธุ์ปะการังที่ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์
จากข้อมูลกราฟฟิกด้านล่าง ทั่วโลกกำลังเจอกับมลพิษจากพลาสติกและทุกประเทศมีส่วนทำให้มลพิษจากพลาสติกเข้าไปอยู่ในท้องทะเล
ประเทศไทยมีสีแดงสด สื่อถึงการปล่อยมลพิษพลาสติกในปริมาณที่ ‘มาก’ และแถบสีเขียวบริเวณประเทศไทยยังบ่งชี้ว่าบริเวณนั้นกำลังเจอปรากฎการณ์ปะการังสูญพันธ์ุ
ภาพกราฟฟิกยังแสดงให้เห็นถึงการสูญพันธ์และสถานะเปราะบางของปริมาณปลาทูน่าเป็นวงกว้างทั่วโลก นอกจากน้ำทะเลที่สูงทั่วโลกเราจะเห็นว่าผืนน้ำส่วนใหญ่กำลังเจอกับสภาวะความเป็นกรดของน้ำทะเลอีกด้วย
ภาพจำลองของ UN เพื่ออธิบาย Triple Planetary Crisis

ที่มา: von Schuckmann et al., 2025. Copernicus Ocean State Report 9
น้ำทะเลอุ่นขึ้น ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
น้ำทะเลที่อุ่นขึ้นกำลังทำลายระบบนิเวศในท้องทะเลในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง อุณหภูมิน้ำที่เปลี่ยนไปดึงดูดสัตว์น้ำต่างสายพันธ์เข้ามารุกรานสัตว์น้ำท้องถิ่น ส่งผลกระทบต่อการประมงท้องถิ่นและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทางตอนเหนือของอิตาลีในแม่น้ำ Po River เจอการรุกรานของ Atlantic Blue Crabs ที่เข้ามาทำลายการผลิตของหอยกาบ หรือ Clam มากถึง 75-100% ในความเป็นจริง Atlantic Blue Crabs เป็นสัตว์น้ำพื้นถิ่นของมหาสมุทรแอตแลนติก มีนิสัยดุร้ายและสามารถรุกราน-สืบพันธุ์ได้เร็ว จึงเป็นภัยต่อสัตว์ท้องถิ่นอย่างมาก
ในเมือง Sicily ของอิตาลียังมีการรุกรานของ Bearded Fireworm หรือบุ้งทะเล ที่กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ สุขภาพของคน และการท่องเที่ยว บุ้งทะเลสายพันธุ์นี้แต่เดิมเป็นสัตว์ท้องถิ่นของทะเลแดง (Red Sea), ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea), มหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) และทะเลแคริบเบียน (Caribbean Sea)
บุ้งทะเลมีความสามารถที่จะตั้งรกรากใหม่ได้เร็ว นอกจากนี้คลื่นความร้อนรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2024 ยังกระทบต่อความเป็นอยู่ของฟาร์มเลี้ยงหอยถึง 17% ตามแนวชายฝั่งของยุโรปอีกด้วย
มีการพบพฤติกรรมการย้ายถิ่นของสัตว์น้ำหลายสายพันธุ์ ว่ามีการขยับย้ายถิ่นฐานจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรโลกไปยังพื้นที่แถบขั้วโลกที่มีอุณหภูมิที่เย็นกว่า ฉะนั้นความไม่สมบูรณ์ของท้องทะเลและมลพิษต่างๆ กระทบต่อระบบนิเวศท้องทะเลโดยตรง
มีข้อมูลว่า 1,677 ชนิดของพันธุ์สัตว์น้ำถูกระบุว่า ‘เสี่ยงต่อการสูญพันธ์’ โดยแยกเป็น 291 สายพันธ์มีความเสี่ยงสูง 647 สายพันธ์มีความเสี่ยง และอีก 739 สายพันธ์ที่เปราะบาง
กิจกรรมมนุษย์ ตัวเร่งความเปลี่ยนแปลง
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากิจกรรมจากมนุษย์เป็นตัวแปรที่เข้ามาเร่งกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มนุษย์ใช้เชื้อเพลิงจากฟอซซิลสูงและปล่อยมลพิษ CO2 ออกมาในปริมาณที่มหาศาลและยังคงเพิ่มอยู่
มลพิษจากการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรืออยู่ในขาขึ้น โดยในปี ค.ศ. 2024 มลพิษเพิ่มขึ้นมา 2.7% จากปี ค.ศ. 2023 การเดินเรือระหว่างประเทศไม่ใช่แค่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่ยังเป็นปัจจัยกระตุ้นความเป็นกรดของทะเลอีกด้วย เพราะ 1 ใน 3 ของมลพิษที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกซึมซับด้วยมหาสมุทร
ทะเลที่เต็มไปด้วยพลาสติก มีการคาดการณ์ว่า 16% ของปะการังใกล้สูญพันธุ์กำลังเผชิญกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นเฉียบพลันพร้อมกับความเป็นกรดของทะเล และ 75% ของประเทศที่มีการปล่อยมลพิษทางพลาสติกสูงมีความเชื่อมโยงกับปะการังที่ใกล้สูญพันธุ์ ฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่าแรงกดดันจากมนุษย์มีความเกี่ยวข้องและมลพิษทางพลาสติกก็มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างมาก
ถึงแม้จะมีการติดตามเรื่องมลพิษทางพลาสติกตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1970s แต่ปัจจุบันยังขาดระบบติดตามและการตรวจสอบการปล่อยมลพิษพลาสติกอย่างจริงจังที่มีมาตราฐานระดับโลก นี่เป็นช่องโหว่ที่ทำให้อาจขาดข้อมูลที่เป็นจริงและไม่อาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสมควร
อีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ท้องถิ่นคือการประมงและสิ่งก่อสร้าง มีข้อมูลว่า การประมงอย่างไม่ยั่งยืนมีสถิติสูงถึง 37.7% ในปี ค.ศ. 2021 ในขณะที่มีเรือขนาดใหญ่มากถึง 75% ที่เดินเรืออย่างไร้การติดตาม ส่งผลให้มีการจับปลาในปริมาณที่ไม่ยั่งยืน และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมายาวนานตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1970s แล้ว โดยในปี ค.ศ. 1974 ตัวเลขอยู่ที่ 10%
นอกจากนี้การก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นตามแนวชายฝั่ง กลางทะเล หรือการทำฟาร์มปลา ยังเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันไปยังสัตว์พื้นถิ่นและสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอีกด้วย
ที่มา: Copernicus Ocean State Report 9
บทความที่เกี่ยวข้อง;