อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจไทย แต่ก่อฝุ่น PM 2.5
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้แก่ภาคเกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยนั้นส่งผลส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ โดย ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในภาคเกษตรมาจากการปลูกอ้อย 23% ซึ่งเป็นปัญหา สำคัญที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่ยังไม่บรรลุผล
ปัจจัยที่ยังไม่สามารถตัดอ้อยสดได้ทั้งหมด
- การตัดอ้อยด้วยรถต้องทำในพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยพื้นที่ปลูก อ้อยเท่ากับ 6 ไร่ต่อครัวเรือน โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ใน ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 20 ไร่ ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่มีพื้นที่มากกว่า 20 ไร่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก
- ต้นทุนแรงงานเกี่ยวอ้อยสดสูงกว่าการเผาเกือบเท่าตัว และใช้ระยะเวลา เก็บเกี่ยวมากกว่า โดยใน 1 วันการตัดอ้อยสดสามารถเก็บเกี่ยวได้ 8 ตัน ในขณะที่ถ้าใช้วิธีอ้อยเผาจะเก็บเกี่ยวได้ 5 ตัน ทำให้แรงงานเลือกตัดอ้อยด้วยวิธีการเผาเพราะได้รายได้มากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า
- ระยะเวลารับซื้อของโรงงานน้ำตาลมีจำกัด (วันปิดหีบเพื่อรับซื้ออ้อยปลายเดือนมี.ค. – เม.ย.) ส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวใกล้ระยะเวลาปิดหีบ จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวด้วยการเผาเนื่องจากไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะให้ทันเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รัฐบาลยังลดเผาอ้อยให้เป็นศูนย์ไม่ได้
รัฐบาลเริ่มมีมาตรการกำหนดปริมาณรับซื้ออ้อยเผาเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณอ้อยเผาที่มีการรับซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลปรับลดสัดส่วนปริมาณรับซื้ออ้อยเผามาที่ 20% และเพิ่มเงินสนับสนุนเป็น 120 บาทต่อตันตั้งแต่ปี 2563
อย่างไรก็ดีปริมาณอ้อยเผาเฉลี่ยยังคงอยู่ที่เฉลี่ย 30% ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี หรือ 4% ของ GHG ในภาคเกษตรของประเทศไทย
อ่านเพิ่มเติม:
คนไทยเสี่ยงอายุสั้นจาก PM2.5 พ.ร.บ.อากาศสะอาดคือความหวัง
ไทยนำเข้าข้าวโพดเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น แม้เป็นตัวการเกิดฝุ่น PM 2.5
แก้ปัญหาการเผาอ้อย ด้วยคาร์บอนเครดิต
คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมให้มีการทำ โครงการลด GHG โดย GHG ที่สามารถลดได้นำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตและซื้อขายได้ ประเทศไทยมีคาร์บอนเครดิตตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่ขึ้นทะเบียน 4 กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
ปัจจุบันมีโครงการขึ้นทะเบียน T-VER แล้วจ านวน 429 โครงการปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บ 12.9 ล้าน tCO2-e เป็นโครงการประเภทเกษตร 9 โครงการ ปริมาณ GHG ที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้m343,195 tCO2-e หรือ 3% ของโครงการที่ขึ้นทะเบียน (รูป5) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสวนยาง
การเก็บเกี่ยวอ้อยสดทดแทนการเผาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ 1 อย่างไรก็ดี การเก็บเกี่ยวอ้อยสดมีต้นทุนที่สูงกว่าการเก็บ เกี่ยวด้วยการเผา ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดมีก าไรน้อยกว่าอ้อย เผา 519 บาทต่อไร่ อย่างไรก็ดีคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการหยุดเผาเศษวัสดุทาง การเกษตรยังไม่มีมาตรฐานคาร์บอนเครดิตรองรับ จะต้องมีการออก มาตรฐานมารับรองคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมดังกล่าวด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางสนับสนุนเพื่อลดการเผาอ้อย 3 แนวทาง 5
- เพิ่มแรงจูงใจการตัดอ้อยสดด้วยคาร์บอนเครดิตและมาตรการส่งเสริมจากหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการเก็บเกี่ยวอ้อยจากการเผาเป็นอ้อยสด โดยเพิ่มรายได้เกษตรกรที่ตัดอ้อยสดด้วยการขาย คาร์บอนเครดิตให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเท่ากับเกษตรกรตัดอ้อยเผา (519 บาทต่อไร่) และครอบคลุมค่าใช้จ่ายรับรองคาร์บอนเครดิต (100 บาทต่อไร่) ซึ่งสามารถลด GHG ได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ ท าให้ราคาคาร์บอนเครดิตจะต้องไม่น้อยกว่า 126 บาทต่อ tCO2-e หรือคิดเป็นเงิน 271 ล้านบาทต่อปี
- เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ ปัจจุบันมีโครงการลด GHG ในประเทศกว่า 51% ที่ขึ้นทะเบียนกับมาตรฐานต่างประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิตให้เชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ จะเพิ่มความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศที่มีความต้องการลด GHG อีกเป็นจำนวนมาก
- ส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกอ้อยและหันมาปลูกป่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวเกษตรกรสามารถปลูกไม้โตเร็วซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่า เช่น ยูคาลิปตัส มะฮอกกานีสนประดิพัทธ์ไผ่ เป็นต้น ซึ่งนอกจากสามารถตัดขายเพื่อเป็นรายได้แล้ว ยังสามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ รวมถึงคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกป่าจะมีราคาสูง เฉลี่ย 290 บาท 6 ต่อตัน CO2 -e
นอกจากการส่งเสริมด้วยคาร์บอนเครดิต หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องดำเนินมาตรการควบคู่ด้วย ได้แก่
- ปรับปรุงเครื่องจักรเกี่ยวอ้อยสดให้เหมาะสมกับพื้นที่ขนาดเล็ก
- จัดทไระบบคาดการณ์และจัดล าดับการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อให้ทันกับช่วงระยะเวลารับซื้อของโรงงาน
- สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
- สนับสนุนค่าใช้จ่ายของเอกชนจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
เพื่อให้การแก้ปัญหาการเผาอ้อยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อสนับสนับให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งเกษตรกร โรงงานน้ำตาล ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน
ที่มา: กฤษฎิ์ แก้วหิรัญ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
อ่านเพิ่มเติม:
เผาป่าในประเทศหนักมาก ความท้าทายใหม่รัฐบาลแก้ฝุ่นควัน