การปล่อยก๊าซจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น 1% ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่สูงขึ้นครั้งใหม่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โลกจะเชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรง และภัยพิบัติตามมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ละประเทศจะมีพันธะสัญญามากมาย แต่กลับลงมือทำเพียงน้อยนิด
จากข้อมูลในการประชุม COP30 (2025 United Nations Climate Change Conference) ชี้ให้เห็นว่าโลกมนุษย์กำลังเดินทางไปสู่หายนะ จากอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 2.6 ˚C เทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรม เพราะแต่ละประเทศยังไม่สามารถทำตามสัญญาการปล่อยมลพิษได้เท่าที่ควรถึงแม้จะมีการทำสัญญามากมายที่ผ่านมา

แนวโน้มอุณหภูมิไปจนถึงปี 2100
ปล่อยคาร์บอนยังสูงขึ้น แต่การดูดซับตามธรรมชาติแย่ลง
มีรายงานว่ามลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจะสูงขึ้นอีก 1% ในปีนี้ ซึ่งนับว่าเป็นสถิติที่สูงขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยในทศวรรษที่ผ่านมาโลกเจอกับมลพิษจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซในอัตราที่เพิ่มขึ้นที่ 0.8% ต่อปี เมื่อเทียบกับ 2% ต่อปีในทศวรรษก่อนหน้านี้
แม้หลายประเทศสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้กับการเพิ่มขึ้นของความต้องการของพลังงานของโลก แต่ยังไม่อาจที่จะทำได้เกินเป้าหมายและมีข้อจำกัด
กราฟแสดงการคาดการณ์ว่าจะมี 38.1 พันล้านตันของ CO2 จากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกปล่อยในปี 2025

อย่างไรก็ตาม Global Carbon Project ชี้ว่ามลพิษที่เพิ่มขึ้นยังบ่งบอกได้ถึงความน่ากังวลว่าความสามารถในการดูดซึมและกักเก็บคาร์บอน(Carbon Sinks)ตามธรรมชาติลดลง
นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่าผลจากสภาวะโลกร้อนและการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ป่าร้อนชื้นในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหลายพื้นที่ในอเมริกาใต้ กลายเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซที่ทำให้โลกร้อนขึ้น จากเดิมเป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอนสำคัญของโลก
รายงายชี้ต่อว่าระดับของ CO2 ในชั้นบรรยากาศจะสูงถึง 425 ppm ในปีนี้ เมื่อเทียบกับที่ระดับ 280 ppmในยุคก่อนอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ถ้าแหล่งกักเก็บคาร์บอนมีสภาพสมบูรณ์กว่านี้ ระดับคาร์บอนจะสามารถลดลงไปได้อีก 8 ppm
ทั้งนี้ รายงานประจำปีของ Global Carbon Project เป็นการใช้ข้อมูลรายเดือนและมีความแม่นยำตลอด 19 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นเช่นนี้อาจแสดงให้เห็นว่าความพยายามแก้ปัญหาโลกร้อนที่ผ่านมาไม่เป็นผล
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาอยู่ในระดับที่ ‘คงที่หรือเพิ่มขึ้น’ เนื่องจากยังมีกิจกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
10 ปี Paris Agreement ทิศทางโดยรวมดีขึ้น
ณ วันนี้ Paris Agreement มีอายุครบ 10 ปีแล้ว ในภาพรวม Climate Action Tracker มองว่า Paris Agreement นับว่าเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะเห็นถึงทิศทางอุณหภูมิโลกที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2015 การคาดการณ์อุณหภูมิโลกจากกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ของแต่ละประเทศ ณ ขณะนั้นแสดงให้เห็นว่าทิศทางของอุณหภูมิโลกในสภาวะโลกร้อนจะขึ้นไปอีก 3.6 °C ภายในปี ค.ศ. 2100 แต่ในตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการคาดการณ์ลดลงไปที่ประมาณ 2.6 °C หลังจากเกิด Paris Agreement และกฎหมายแต่ละประเทศเริ่มทำ
อิทธิพลจาก Paris Agreement ในเวทีโลก

ที่มา: Climate Action Tracker | Warming Projections Global Updates – November 2025
Paris Agreement นำมาสู่กฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่สอดคล้องกับการลดมลพิษแต่เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด ตัวอย่างการขับเคลื่อนที่เกิดขึ้น เช่น
- ประเทศเอธิโอเปียยกเลิกนำเข้ารถยนต์สันดาปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2024 เป็นต้นมาเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
- ประเทศชิลีเป็นผู้นำทางด้านการลดใช้ถ่านหินในทวีปลาติน-อเมริกา และกำลังเพิ่มการผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์และลมอย่างรวดเร็ว
- สวิตเซอร์แลนด์กำลังขยายการผลิตพลังงานหมุนเวียนและกำลังเสริมสร้างกรอบการทำงานด้านสภาพภูมิอากาศของภาครัฐให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- อินเดียสามารถบรรลุเป้าหมายของกำลังการผลิตพลังงานสะอาดที่ 50% ก่อนกำหนดการ เนื่องจากได้รับการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมอย่างมหาศาล
ในมุมหนึ่ง Paris Agreement ทำให้เห็นว่าแต่ละประเทศมีความสามารถที่จะร่วมมือเพื่อลดการปล่อยมลพิษได้ แต่ในเวลาเดียวกัน แต่ Climate Action Tracker มองว่า การก้าวหน้านั้นยังขาดความสม่ำเสมอในการร่วมมือจากระดับนานาชาติ
แต่ความร่วมมือระหว่างประเทศ “ไม่ดีเท่าที่ควร”
ก่อนหน้านี้ในที่ประชุม COP28 ที่ประเทศดูไบในปี 2023 ได้มีข้อตกลงเรื่องของการ “เปลี่ยนผ่าน” จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ประเด็นนี้มักถูกนำมาถกเถียงในเวทีโลกเช่นที่ประชุมของสหประชาชาติ
ล่าสุด กลุ่มประเทศ G77 รวมถึงประเทศจีน (คิดเป็น 80% ของประชากรโลก) ได้มีการตกลงในที่ประชุม COP30 ว่าจะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างยุติธรรม แต่ทว่าประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปไม่เห็นด้วย
ในเวลาเดียวกันบราซิลจัดตั้งกองทุนเพื่อกำจัดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า แต่หลายๆ ประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรก็ไม่สนับสนุนอีกเช่นกัน
ถึงแม้จะมีการให้คำมั่นสัญญากันมากมายและมีการประชุมหารือระดับนานาชาติอยู่บ่อยครั้ง แต่การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล การส่งออก และการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ และในความเป็นจริงแล้วประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Global North เป็นผู้รับผิดชอบต่อโครงการน้ำมันและก๊าซใหม่ถึง 70% ที่มีการวางแผนไว้จนถึงปี ค.ศ. 2035 การขยายตัวของโครงการใหญ่เหล่านี้เพียงอย่างเดียวก็อาจทำให้โลกก้าวข้ามอุณหภูมิ 1.5 ไปได้
หากนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นการ “ถอยหลัง” มากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกาออกมาประกาศถอนตัวจาก Paris Agreement เมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา และกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศภายในประเทศเองก็มีการถดถอยทำให้การดำเนินการเรื่องมลพิษชะลอลง
ในที่ประชุม COP30 ครั้งนี้ที่ประเทศบราซิล มีกำหนดให้แต่ละประเทศส่ง National Determined Contributions (NDCs) หรือแผนการลดมลพิษแห่งชาติ เพื่อเป็นการติดตามดูความก้าวหน้าและแผนในอนาคตว่าไปถึงไหนแล้ว แต่หลายประเทศไม่ได้ส่งเอกสารนี้เข้ามา และหลายประเทศส่งช้าเกินกว่ากำหนดไปมาก
โดยสรุปแล้ว ผลลัพธ์จาก Paris Agreement แสดงให้เห็นว่านานาชาติมีความสามารถในการที่จะลดการปล่อยมลพิษลงได้และทำให้อุณหภูมิลดลง และหลายประเทศก็ตื่นตัวกับการติดตั้งและการใช้พลังงานสะอาด แต่ความท้าทายใหญ่ที่เจอตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องของการลดการปล่อยมลพิษเสียทีเดียว แต่เป็นการร่วมมือและการลงมือทำจริงต่างหากที่จะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงได้
ที่มา: Climate Action Tracker , Global Carbon Project และ https://www.theguardian.com/environment/2025/nov/13/world-still-on-track-for-catastrophic-26c-temperature-rise-report-finds
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- COP30 มุ่งปกป้องป่าเขตร้อน ตั้งกองทุน-หนุนคาร์บอนเครดิต
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จุดไฟป่ารุนแรงทั่วโลก
- หายนะมหาสมุทรทั่วโลก เผชิญทะเลกรด-ปะการังสูญพันธุ์




