โค้งสุดท้าย ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. (พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ) ภายหลังครบกำหนดเปิดรับฟังความคิดเห็น ก่อนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2-3 ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จนต้องลุ้นว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเวลานี้จะสามารถผลักดันกฎหมายนี้ไปถึงปลายทางได้หรือไม่
ล่าสุด ผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ทางเว็บไซต์ของรัฐสภาเป็นระยะเวลา 15 วัน (25 ก.ค. – 8 ส.ค. 2568) มีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น 2,604 คน เห็นด้วย 92.31% ไม่เห็นด้วย 4.43% งดออกเสียง 3.35% โดยหลังจากนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จะนำผลการรับฟังความคิดเห็นมาพิจารณาอีกครั้งก่อนเสนอ ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป
Policy Watch สรุปบทวิเคราะห์ โดย เครือข่ายอากาศสะอาดฯ ที่เผยแพร่บทวิเคราะห์เชิงกฎหมายและการเมืองของทางสองแพร่งสู่ กฎหมายอากาศสะอาด: เปรียบเทียบระหว่างเส้นทาง “พระราชบัญญัติ” กับ “พระราชกำหนด” หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีภาคประชาชนบางส่วนออกมาแสดงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายโดยการตราเป็น พ.ร.ก. เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ทางการเมือง
โดยอธิบายถึงขั้นตอนการพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ประเภท ที่สะท้อนให้เห็นข้อดี-ข้อเสีย และข้อห่วงกังวลทางการเมือง รวมถึง “เครื่องมือ” สำคัญในร่างกฎหมาย ที่อาจถูกตัดทอน หรือแก้ไขหลักการสำคัญจากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญออกไป และทำให้กฎหมายอ่อนแอ ขาดประสิทธิภาพ
พ.ร.บ. กระบวนการช้าแต่ “มั่นคง”
พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ในสภาฯ มีจุดเริ่มจาก 7 ร่างกฎหมาย ที่มาจากทั้งพรรคการเมือง รัฐบาล และประชาชนเป็นผู้เสนอ ผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญกว่า 200 ครั้ง เพื่อหลอมรวมเนื้อหาให้ครอบคลุมและรักษาหลักการสำคัญ เช่น สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล กลไกตรวจสอบรัฐ หลักการ “ผู้ก่อคือผู้จ่าย” และการตั้งกองทุนอิสระ มีข้อดี คือ มีความชอบธรรมสูง มีส่วนร่วมของภาคประชาชน เนื้อหาครบถ้วนและแข็งแรง มีความเสี่ยงทางกฎหมายต่ำเมื่อผ่านสภาฯ แต่ ข้อจำกัด คือ อาจใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงสะดุดหากมีการยุบสภาฯ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจทำให้เกิดการยุบสภาฯ แต่ข้อยกเว้นตามมาตรา 147 เปิดทางให้ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป คณะรัฐมนตรีสามารถร้องขอต่อสภาฯ ภายใน 60 วัน เพื่อหยิบกฎหมายขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่า “การยุบสภาไม่ใช่จุดจบ” แต่เป็นเพียงการหยุดพักกระบวนการไว้ชั่วคราว ซึ่งกฎหมายจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่จับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลชุดใหม่
สำหรับ ข้อห่วงกังวล หากข้ามขั้นไปตราเป็น พ.ร.ก. อาจจะเท่ากับละทิ้งผลจากการมีส่วนร่วมและการกลั่นกรองที่เข้มข้นในชั้น กมธ. ทำให้สูญเสียหลักการสำคัญที่ภาคประชาชนต่อสู้มา ซึ่งนั่นอาจะทำให้ “เขี้ยวเล็บ” หรือ อาวุธสำคัญที่จะเป็นเครื่องมือจัดการปัญหามลพิษทางอากาศถูกถอดออกไป
พ.ร.ก. เร็วทันเหตุการณ์ แต่มีความเสี่ยง
ขณะที่ การตรากฎหมายเป็น พ.ร.ก. จะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ใช้บังคับได้ทันที ซึ่งเหมาะกับกรณีฉุกเฉิน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 แต่การตีความว่า PM 2.5 เป็น “ภัยพิบัติสาธารณะ” ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อาจมีความไม่ชัดเจน เพราะปัญหานี้เกิดซ้ำและคาดการณ์ได้ อีกทั้งกระบวนการ พ.ร.บ. ก็กำลังเดินหน้าอยู่แล้ว ข้อดี คือ รวดเร็ว เหมาะกับสถานการณ์เร่งด่วน แต่ก็มี ข้อจำกัด คือ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน มีความเสี่ยงสูงที่เนื้อหาสำคัญจากการพิจารณาของ กมธ. จะถูกตัดทอน เพื่อเอื้อประโยชน์หรือบรรเทาภาระรัฐ กฎหมายอาจมีความชอบธรรมต่ำ และเสี่ยงถูกคว่ำทั้งในสภาฯ และศาลรัฐธรรมนูญ
โดยสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ มีข้อห่วงกังวลด้วยว่า เหตุผลด้าน “ความจำเป็นเร่งด่วน” อาจไม่แข็งแรงพอ เสี่ยงถูกตีความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากถูกวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 172 จะเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น ทำให้เสียทั้งเวลาและความน่าเชื่อถือทางการเมือง และ อาจสร้างความขัดแย้งและสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล
จุดยืนเครือข่ายอากาศสะอาดฯ
พร้อมย้ำจุดยืนว่า การออก พ.ร.บ. แม้จะช้ากว่า แต่ได้กฎหมายที่มั่นคง ครบถ้วน และมีความชอบธรรม ขณะที่ พ.ร.ก. แมhให้ความเร็ว แต่แลกมาด้วยความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียเนื้อหาสำคัญ ความชอบธรรม และอาจไม่สามารถใช้บังคับได้จริงในท้ายที่สุด
ที่สำคัญในการตรา พ.ร.ก. ท้ายที่สุดจะต้องยกระดับสถานะกฎหมายเป็น พ.ร.บ. โดยการเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้ลงความเห็นว่า เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ เท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขรายละเอียดในกฎหมายได้
อ้างอิง
เนื้หาที่เกี่ยวข้อง
- ชวนแสดงความเห็น ‘ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’ วันนี้ – 8 ส.ค. ก่อนเข้าสภาฯ
- ‘อากาศสะอาด’ บนทางแพร่ง ? เทียบเส้นทาง ‘พ.ร.บ.’ vs ‘พ.ร.ก.’
- กฎหมายอากาศสะอาด ความหวังแก้ฝุ่น PM 2.5 ถึงระดับโครงสร้าง
- ส่อง ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ก่อนเข้าสภาฯ วาระ2-3