ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เตรียมกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2 และวาระ 3 หลังจากผ่านการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มาเป็นเวลา 1 ปี 7 เดือน ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อหลอมรวมสาระ และเครื่องมือสำคัญ จากร่างกฎหมาย 7 ฉบับเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ ก่อนนำกลับเข้าสภาฯ ได้มีการนำร่างกฎหมายมารับฟังความเห็นจากประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อร่วมแสดงความเป็นเจ้าของ และร่วมจับตากฎหมายหลังเข้าสู่สภาฯ เพื่อไม่ให้ “อาวุธ” หรือเครื่องมือสำคัญของกฎหมายในการจะแก้ปัญหามลพิษถึงระดับโครงสร้างถูกตัดทอนหายไป
Policy Watch ได้สรุปภาพรวมเวที Policy Forum: กฎหมายอากาศสะอาด ใกล้ถึงจุดหมาย หายใจได้เต็มปอด เปิดพื้นที่สาธารณะชวน กรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. (กมธ.อากาศสะอาดฯ) พร้อมด้วยนักวิชาการ ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาเปิดเผยมุมมองและประเด็นสำคัญของกฎหมายพร้อมตอบข้อสงสัยจากประชาชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท กมธ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า สิ่งที่ใหม่ที่สุดคือความหวังที่เป็นรูปธรรม เป็นนวัตกรรมของโลก โดยในเวทีนี้มีทั้งผู้ริเริ่มเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหา PM 2.5 อย่าง “กรีนพีช” จนเกิดความเคลื่อนไหวของภาคประชาชน และการรวมตัวของนักวิชาการ เป็นร่างกฎหมายฉบับประชาชน ที่เข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรมาอย่างยาวนาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน มีเรื่องสำคัญที่คลี่คลาย มีนวัตกรรมเกิดขึ้นและเวทีนี้สำคัญตรงที่จะได้เรียนรู้ร่วมกันว่าความหวังจะเป็นจริงได้อย่างไร
มองภาพ “โครงสร้าง” กม.อากาศสะอาด
จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธาน กมธ.อากาศสะอาดฯ กล่าวอธิบายภาพรวมของ ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ว่า นับเป็นความหวังในความคืบหน้าจากการทำงานร่วมกัน กมธ.ที่ร่วมทำงานด้วยกันทั้งหมด 39 คน ยังไม่รวมที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน และผู้แทนจากกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีทั้งหมด 10 หมวด 103 มาตรา ที่ยังไม่ผ่านการเรียงลำดับใหม่ คาดว่าหากมีการเรียงลำดับ อาจจะมีมากถึง 300 มาตรา ถือว่าเป็นกฎหมายที่ใหญ่มากฉบับหนึ่ง ที่มีทั้งความใหม่ ความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธาน กมธ.อากาศสะอาดฯ
จักรพล เล่าย้อนว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นวงจรอุบาทว์กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่ได้ผลักดันเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการคือ สภาฯ ชุดที่ 25 เมื่อปี 2562 แต่บริบทในแต่ละร่างมีความเป็นวินัยการเงินการคลัง ทำให้การมีหน่วยงานใหม่ หรือการจัดตั้งกองทุน ถูกตีตกไป หลังหมดสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มี 2 ร่างที่ยังคงเหลือ คือ ฉบับของพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นโดยจักรพล และฉบับของภาคประชาชน พอมาปี 2566 อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้มีการบรรจุเข้า ครม. และผ่านครม. มาสู่สภาผู้แทนราษฎร ที่รับหลักการในวาระ 1 เมื่อ 17 ม.ค. 2567 ประชุมกันมานาน 1 ปี 7 เดือน ในขั้นตอนการพิจารณายอมรับว่าพิจารณาอย่างเข้มข้น
ในช่วงแรกกว่าจะปรับจูนกันได้ ต้องมีการเปิดใจรับฟัง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ ในวงประชุมแต่ละวงมีขนาดใหญ่มาก มีการถกทุกสาระสำคัญครบถ้วน ใน 7 ร่าง มี 5 ร่างเป็นของพรรคการเมือง 1 ร่างเป็นฉบับของ ป.ย.ป. และ ร่างของประชาชน ที่ลงนามเสนอกันเข้ามามากกว่า 22,000 รายชื่อ บรรจุเข้าไปเป็น 7 ร่าง
เพราะฉะนั้นการพิจารณาหล่อหลอมให้เป็นร่างที่ดีที่สุดของประเทศไทย จึงใช้เวลาพิจารณาอย่างยาวนาน โดยในห้องประชุมใหญ่ ยังมีการตั้งอนุกรรมาธิการ 2 ชุด ประกอบด้วย อนุกรรมาธิการพิจารณากรอบหลักคิด หลักการสำคัญและโครงสร้างการบริหาร พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ และ อนุกรรมาธิการพิจารณาความผิดทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
ประธาน กมธ.อากาศสะอาด ระบุว่า ในแต่ละหมวดมีการพิจารณาหลายอย่าง หมวด 1 เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้ ไล่เรียงลงมา มี 5 คณะกรรมการที่จะมาทำงานตาม พ.ร.บ. มีเรื่องการพิจารณาถึง 6 Sectors (แหล่งกำเนิดมลพิษ) เพิ่มเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในหมวดที่ 6 มีกองทุนอากาศสะอาด มีหมวด 8, 9, 10 ที่ว่าด้วยเรื่องทางแพ่ง อาญา และพินัย ที่ระบุบทลงโทษเอาไว้ว่า หากกระทำความผิด ไม่ปรับตัว จะมี carrot & Stick ที่จะให้ระยะเวลาในการปรับตัว ปรับเปลี่ยนองค์กรว่าจะเป็นอย่างไร หากใช้ไม่อ่อนแล้วไม่เปลี่ยน ก็จะมีการใช้ไม้แข็ง หรือที่เรียกว่า “ภาษีบาป” ในการคำนวณ เพราะฉะนั้นเรื่องของเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เราก็เอามาร้อยเรียง เรื่องของแหล่งที่มา ค่าฝุ่น ค่า AQI ต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ใน 10 หมวดนี้ ก็จะเห็นถึง ภาพรวมทั้งหมดของแหล่งที่มา
“ที่จริงก็มีชุดความรู้ ชุดความคิด ที่ได้ทราบกันอยู่แล้ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรายังไม่มีอาวุธ หรือเครื่องมือในการที่จะจัดการ ต่อกรกับผู้ก่อมลพิษ เรายังใช้กฎหมายที่อยู่ใต้ร่มใหญ่ของ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ถูกฝา ถูกตัว ไม่สามารถมาฟังก์ชัน หรือแซงก์ชันได้ ในเรื่องการจะขจัดมลพิษตั้งแต่ต้นทาง เพราะฉะนั้นถ้าเรามองในภาคของแหล่งที่มา ทั้งภาคเมือง คมนาคม อุตสาหกรรม เกษตรกรรม หมอกควันข้ามแดน ภาคอื่น ๆ เราก็จะมีการวิเคราะห์ทั้งหมด ว่าแหล่งที่มาคืออะไร จะจัดการอย่างไร แล้วก็จะดิสรัปพวกเขาอย่างไร เพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางว่าตั้งแต่ต้นทาง ไม่เผาอย่างไร” จักรพล กล่าว
จักรพล ย้ำว่า เป้าหมายสูงสุดของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ การลดค่า AQI ให้เหลือ 37.5 ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย โดยถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน “เราทุกคนต้องได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ตั้งแต่ในครรภ์มารดา”
“นี่คือสิ่งที่เราทำกันอย่างหนัก มีทั้งแรงบันดาลใจ แรงเสียดทาน แรงกดดัน ถามว่าช้าไปไหม? จะทันไหม? ผมเชื่อว่าทุกท่านน่าจะเห็นแล้วว่า เราไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านเปล่า เราคุยกันละเอียดทุกประเด็น เพราะเราไม่อยากให้กฎหมายนี้กลายเป็นแค่ ‘เสือกระดาษ’ ที่ใช้งานไม่ได้จริง หรือไม่สามารถแก้ปัญหาจริงได้” จักรพล กล่าว
จักรพล บอกถึง สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้คือความเสียหายทางสุขภาพ ที่มาก่อนเรื่องเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “จังหวัดเชียงใหม่ที่ผมมาจาก ก็มักจะติดอันดับเมืองอากาศแย่อันดับ 1 ของโลกเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยว เราอยากลบสถิตินี้ และร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นทั้งอาวุธ เป็นเสื้อเกราะ และเป็นเครื่องมือในการจัดการกับต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง”
นพ.วิรุฬ อธิบายอีกว่า การทำงานเรื่องนี้เรามองเรื่องของมลพิษ ไป มองเรื่องอากาศสะอาด ทำให้เกิด อีกภาคหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ “ภาคเมือง” เพราะว่าภาคเมือง คือการหาทางว่า การจะทำให้อากาศสะอาดในเมือง จะทำอย่างไร และเมื่อมองแบบนี้ ทำให้สามารถนำกลไกใหม่ ๆ เข้ามา กลไกที่ไม่ได้มองแต่ผู้ร้าย แต่เป็นกลไกที่มองว่า “ใครคือคนที่จะต้องรับผิดชอบ” ซึ่งนี่เรียกว่า “นวัตกรรมทางกฎหมาย” กมธ. โชคดีที่มีนักกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมศึกษาเรื่องนี้
กรอบความคิด สู่ โครงสร้าง ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธานคนที่ 1 กมธ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า กฎหมายอากาศสะอาดฯ ได้ระดมทีมกฎหมายแนวใหม่ และเฉพาะทาง มาร่วมเป็นทีมตั้งแต่การยกร่างฉบับภาคประชาชน เข้าชื่อ และ ในฐานะผู้รับผิดชอบเป็นอนุกรรมาธิการทั้ง 2 ชุด ได้เห็นทั้งภาพรวมและภาพลงลึก โดยสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ฉบับหลอมรวมเป็นฉบับที่ 8 ที่เปรียบว่าเป็น “ภารกิจกู้ระเบิดเวลาของสังคมไทย” เพราะปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมหลาย ๆ ปัญหาจะมีลักษณะเหมือนกันคือ “เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง เวลามีการแก้กฎหมายหรือทำนโยบายใหม่ มักจะไม่มีการรื้อแก้ปัญหาใต้ภูเขาน้ำแข็งเสียเท่าไหร่ แต่เป็นการแก้ขัด แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า หรือ Event Base Regulation ซึ่งเป็นการแก้แค่แบบผิวเผิน นั่นทำให้ปัญหาวนกลับมาอีก
แต่กฎหมายอากาศสะอาดฯ จะดำลึกลงไปว่าอะไรคือ Pain Point เชิงระบบ จนพบว่านี่คือเรื่องใหญ่ที่สะสมปัญหามานาน ซึ่งไม่ขอโทษใคร แต่เราต้องมาช่วยกัน ทำอย่างไรให้ร่างกฎหมายฉบับนี้จะตอบโจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างได้
“นั่นหมายความว่า เราจะไม่ได้ทำแค่กฎหมาย 1 ฉบับ แล้ววาดหวังว่ามันจะไปเสกให้อากาศสะอาดขึ้นมาได้ทันที เพราะขึ้นอยู่กับโครงสร้างสังคมเยอะมาก แต่สิ่งที่ร่างกฎหมายช่วยได้ นั่นคือ ทำอย่างไรจะสร้าง Eco system ใหม่ในสังคมไทย เปิดต้อนรับแนวคิดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ทำให้ต้องตั้งอนุกรรมาธิการชุดที่ 1 ขึ้นมาเพื่อทำกรอบความคิด ปรับจูนความคิดกันก่อน เพราะ 7 ร่างนี้มาคนละเรื่องกันเลย วิธีคิดคนละอย่าง” รศ.คนึงนิจ กล่าว
รศ.คนึงนิจ อธิบายถึง กรอบความคิดที่เป็นสารตั้งต้นในการพิจารณากฎหมายอากาศสะอาด ประกอบด้วย
- สิทธิในอากาศสะอาด เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ประกาศรับรอง มีทั้งเชิงเนื้อหา และเชิงกระบวนการ จะมีทั้ง สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิในสุขภาพ สิทธิในชีวิตที่จะต้องไม่ตายก่อนวัยอันควร เช่น มะเร็งปอดในผู้ไม่สูบบุหรี่เป็นเรื่องที่มองไม่เห็นตรวจไม่เจอจนกระทั่งระยะสุดท้าย ซึ่งอันตรายมาก
- ไม่แยก “มิติสิ่งแวดล้อม” ออกจาก “มิติสุขภาพ” ซึ่งเป็นคำเตือนจาก WHO มายาวนาน ในบางประเทศมีการยุบรวม 2 กระทรวง อย่าง กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องทำงานร่วมกัน แต่สำหรับประเทศไทยแยกกันทำงาน จึงต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้เกิด “อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดี”
- การบูรณาการในทุกมิติ เพราะโครงสร้างเดิมที่มีปัญหา คือ ทำงานแยกส่วนอย่างชัดเจน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม กฎหมายนี้จะมีกลไกอยู่ในหมวด 3 เน้นการบูรณาการเชื่อมประสานเข้าด้วยกัน
- ยกระดับกระจายอำนาจกับการมีส่วนร่วมของประชาชน มีบทบาทประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัดที่จะเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด บทบาทภาคประชาสังคมที่เข้าไปนั่งในสัดส่วนของกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการต่าง ๆ หลายชุด
- Carrot & Strick มาตรการจูงใจให้รางวัลเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะการมีกฎหมายที่ลงโทษหนัก ๆ อย่างเดียวไม่พอ และกฎหมายสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่ได้ผลดี ต้องมีทั้งไม้หนัก และไม้อ่อน คือ มีทั้งการลงโทษและการให้รางวัล เพราะฉะนั้นมาตรการจูงใจให้รางวัลเพื่อเปลี่ยนฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นจึงต้องมี มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ และกองทุนอากาศสะอาด

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธานคนที่ 1 กมธ.อากาศสะอาดฯ
ขณะที่ นวัตกรรมทางกฎหมาย ที่เกิดขึ้น ในกระบวนการทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ คือ
- ยึดโยงหลักคิดสิทธิมนุษยชน
- มีโครงสร้าง องค์กรและกลไกการบริหารจัดการ ที่เน้นอากาศสะอาดโดยเฉพาะ
- เครื่องมือและกลไกเชิงเทคนิคที่ครอบคลุมและบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็น AQI, AQHI, ระบบฐานข้อมูลอากาศสะอาด, การกำหนดศักยภาพการรองรับของพื้นที่, การจำแนกพื้นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และพื้นที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน, เขตภูมิศาสตร์ข้ามเขตการปกครอง, ระบบพลเมืองเฝ้าระวังและแจ้งเตือน
- กลไกที่ชัดเจนในการจัดการสถานการณ์วิกฤตแบบมีลำดับขั้นและอำนาจเด็ดขาด
- มาตรการป้องกันและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดเฉพาะเจาะจง ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคเมือง ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม และภาคมลพิษข้ามแดน
- การนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ ค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด, การจัดสรร การซื้อขาย และการโอนสิทธิ์ในการระบาย ปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น ระบบฝากไว้ได้คืน หลักประกันความเสี่ยงหรือความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษทางอากาศ
“ทั้งหมด 103 มาตรา 10 หมวด ดูคร่าว ๆ ก็จะเห็นถึงความสลับซับซ้อน แต่เป็นระบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และไม่มั่ว ดังนั้นเราสามารถอธิบายได้ไม่ว่าจะเวทีไหน สงสัยให้ถาม กมธ. มีคำอธิบาย” รศ.คนึงนิจ กล่าว
เจาะลึก เครื่องมือบริหาร – ควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด
บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ และ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการพิจารณากรอบหลักคิด หลักการสำคัญและโครงสร้างการบริหาร พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวอธิบายเจาะลึก ถึงสาระสำคัญใน หมวด 4 ว่าด้วยเรื่องการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษ และ หมวด 5 เขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษทางอากาศ
บัณฑูร ชี้ว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ขับเคลื่อนมาจากเรื่องฝุ่น แต่กฎหมายจะดูแลและครอบคลุมทุกมลพิษทางอากาศทั้งหมด จากการที่นับทั้งหมดในร่างกฎหมายขณะนี้มีทั้งหมด 275 มาตรา โดย 266 มาตรา เป็นบทหลัก และ 9 มาตรา เป็นบทเฉพาะกาล สำหรับในหมวด 3-4 รวมกันมี 79 มาตรา หรือ 1 ใน 3 ของกฎหมายฉบับนี้ โดยยึดถือกรอบแนวคิดในการร่างกฎหมาย 5 ประการ คือ
- แก้ปัญหาที่สาเหตุต้นทางจุดกำเนิดมลพิษ ไม่ใช่ไล่จับ hot spot ไม่ไล่ดับไฟ เพราะไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน
- ทำงานป้องกันแก้ไขต่อเนื่อง ใช้สูตร 8 – 3 – 1
- ดำเนินการครอบคลุมทุกแหล่งกำเนิด ทำให้ครบ 6 sectors
- ขนาดและความซับซ้อนของปัญหามลพิษทางอากาศ เกินกำลังของหน่วยงานภาครัฐฝ่ายเดียว และต้องการความร่วมมือขององค์กรภายนอก ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ
- ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เครื่องมือและกลไกหลายประเภทร่วมกัน
“จากประสบการณ์ เผาแล้วจับเด็ดขาด อย่างเดียวไม่สำเร็จ แถมแย่กว่าเดิม เพราะจากเดิมเขาใช้ไฟแล้วคอยคุมไม่ให้มันลาม พอบอกว่าเผาแล้วจะจับ เขายิ่งหนี ยิ่งทิ้ง ทำให้ไฟยิ่งลาม เราต้องการเครื่องมือมากกว่ากฎหมายที่มีแต่บทลงโทษอย่างเดียว คือ Carrot & Strick” บัณฑูร กล่าว

บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ
แกะสูตร 8 – 3 – 1 แก้ปัญหามลพิษตามฤดูกาล
บัณฑูร อธิบาย เรื่องการทำงานอย่างต่อเนื่องในสูตร 8 – 3 – 1 ว่า ให้ความสำคัญในการทำงานช่วง 8 เดือน ซึ่งลดความรุนแรงในการเผชิญเหตุ 3 เดือน ช่วงฟื้นฟู 1 เดือน ซึ่งในกฎหมายหมวดที่ 4 จะเทน้ำหนักไปที่การทำงานในช่วง 8 เดือน ทั้ง 6 ภาค ซึ่งเดิมทีในแต่ละภาคจะมีหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ซึ่งกฎหมายจะช่วยให้หน่วยงานทำงานได้ดีมากขึ้น และใน หมวดที่ 5 ว่าด้วย เครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด มีทั้งหมด 15 ประเภทเครื่องมือ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
- เครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- เครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
- เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์
- เครื่องมือด้านสังคม
- เครื่องมือด้านแผนและงบประมาณ
- เครื่องมือด้านกฎหมาย
ในช่วงเผชิญเหตุ 3 เดือน จะนำเอาเรื่องเขตเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศ คือ หากมีสัญญาณจากการคาดการณ์ ต้องรีบให้อำนาจนี้กับจังหวัดในการระงับเหตุ กฎหมายของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยยังใช้ได้ แต่สำหรับกฎหมายอากาศสะอาด จะเป็นการ “ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” โดยมีระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือน มีคณะทำงานอากาศสะอาดเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้รับกับไฟที่ข้ามเขตปกครอง ไฟแปลงใหญ่ โดยใช้หลักนิเวศ เขตภูมิศาสตร์ทางอากาศ และหากเอาไม่อยู่ ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “เขตประสบมลพิษทางอากาศ” ซึ่งเรียนรู้มาจากเขตควบคุมมลพิษว่ามีข้อจำกัด มีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาและออกแบบใหม่ให้ “เขตประสบมลพิษทางอากาศ” รับมือได้
ขณะที่ช่วงฟื้นฟู 1 เดือน บัณฑูร ระบุว่า มีมาตราการรองรับทั้งเรื่อง สุขภาพ ระบบนิเวศ ป่าที่ต้องฟื้นฟูกรณีเกิดไฟไหม้ และใช้ช่วงเวลานี้ในการสรุปถอดบทเรียน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
บัณฑูร ยกตัวอย่าง การจัดการมลพิษทางอากาศใน ภาคเกษตร และ ภาคป่าไม้
ภาคเกษตร จะมีระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (ซึ่งจะต้องทำทั้ง 6 Sectors) มีการทำข้อมูลรายแปลง หมายเลขประจำแปลง เพื่อให้ทราบพิกัด สถานะการครอบครองที่ดิน สถานะทางกฎหมายของพื้นที่ ข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรกร ข้อมูลการเตรียมแปลง เมล็ดพันธุ์ วิธีการเก็บเกี่ยว การขนส่ง สถานที่รับซื้อผลผลิต วิธีการจัดเก็บเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นต้น เพื่อจัดทำ “ระบบตรวจสอบย้อนกลับ”
ทุก ๆ Sector มีการกำหนด “เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์” ซึ่งระบุไว้ให้กฎหมาย ซึ่งจะสามารถเพิ่มเติมได้โดยการเสนอของ สำนักงานบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (บอส.) ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ตั้ง จะให้กรมควบคุมมลพิษทำหน้าที่ไปพลางก่อน โดยมีเป้าหมายจะตั้งภายใน 2 ปี นับจากวันที่กฎหมายประกาศ โดยต้องปรับโครงสร้างการผลิตพืชที่เสี่ยงต่อการเผา เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย โดยมีการจัด “โซนนิ่งเขตเกษตรเศรษฐกิจ” มาตรการสนับสนุนโครงสร้างการผลิต อย่าง ที่ดิน แหล่งน้ำ เครื่องจักร มีระบบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร การเผา ระบบตรวจสอบย้อนกลับ พัฒนาตลาดรองรับ รูปแบบการสนับสนุน ฐานข้อมูลนี้จะเชื่อมโยงไปที่ส่วนกลาง ที่ บอส. และนำไปให้จังหวัดดำเนินการจัดทำ แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขมลพิษทางอากาศ และการจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งทุกจังหวัดต้องทำ
ขณะที่ ภาคป่าไม้ ต้องมีการทำ Big Data ของแต่ละพื้นที่ มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดการแต่ละผืนป่า 3 ประเภทหลัก คือ ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน ป่าชุมชน ที่แตกต่างกัน ต้องมีแนวทางจัดการป่าแต่ละประเภทแต่ละผืนป่าที่แตกต่างกัน ดยมีเครื่องมือ เช่น ต้องมีแนวกันไฟ แนวกันคน ประเทศไทยไม่มีไฟป่าตามธรรมชาติ ไฟป่าที่เกิดขึ้นเกิดจากคนเกือบ 100 % มีระบบจ่ายค่าตอบแทนบริการของระบบนิเวศ (PES) ให้กับชุมชนที่ดูแลป่า และข้อมูลเหล่านี้ต้องเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลกลาง และเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำแผนของแต่ละจังหวัด
“เราต้องให้องค์กรที่ดูแลกฎหมายใน 6 sectors ทำงานกันอย่างแข็งขัน อย่าฝากความหวังไว้ให้กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง สมมติฐานแบบนั้นไม่เคยสำเร็จมาในกลายกรณีรวมถึงเรื่องนี้ด้วย ที่ไม่ควรฝากความหวังไว้ที่องค์กรเดียว” บัณฑูร กล่าว
ภาคประชาสังคม เอกชน นักวิชาการ
ถาม-ตอบ ข้อสงสัย กม.อากาศสะอาดฯ
นอกจากนี้ ในเวทียังมีการตั้งคำถามจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อย่างเครือข่ายภาคประชาสังคม และท้องถิ่นด้วย
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors ให้ความเห็นว่า โดยภาพรวม ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ถือเป็นกฎหมายที่มีความครอบคลุมและก้าวหน้า แต่ยังมีข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการนิยามคำว่า “กลุ่มเปราะบาง” ซึ่งในร่างกฎหมายระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ
“ประเด็นที่อยากชวนคิดคือ จะสามารถขยายความหมายของกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมมากขึ้นได้หรือไม่ เช่น รวมถึงกลุ่มคนจนในเมืองและชนบท กลุ่มหลากหลายทางเพศ กลุ่มชาติพันธุ์ และแรงงานข้ามชาติ เพราะในความเป็นจริง กลุ่มเหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศไม่แพ้กัน” ธารา กล่าว
ธารา กล่าวต่อว่า รู้สึกยินดีที่เห็นร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ความสำคัญกับ “ไร่หมุนเวียน” ซึ่งเป็นระบบภูมินิเวศเฉพาะถิ่น โดยในอดีตมักถูกมองในแง่ลบจากคนนอกพื้นที่ อาจเพราะขาดความเข้าใจ ทั้งที่ในความเป็นจริง ไร่หมุนเวียนไม่ได้มีแนวโน้มขยายพื้นที่เพิ่ม และมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
“สิ่งที่ถือเป็นความท้าทายใหญ่จริง ๆ ของภาคเกษตร น่าจะอยู่ที่ โครงสร้างนโยบายการขยายตัวของเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว ซึ่งยังอาจไม่สอดรับกับมาตรการในกฎหมายเท่าที่ควร นี่จึงเป็นจุดที่ต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อให้กฎหมายสามารถตอบโจทย์ได้จริงในระดับโครงสร้าง” ธารา กล่าว
รวมถึงการที่ป่าถูกทำลายไม่ได้มาจากชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกินโดยไม่มีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง เขาต้องหาเลี้ยงชีพ เพราะความยากจน มองว่า ควรมีกลไกภายใต้กรอบกฎหมายนี้ว่าจะช่วยเหลืออย่างไร แทนที่จะไปลงโทษโดยตรง ซึ่งอีกจุดที่ท้าทาย คือ ภาคอุตสาหกรรม ที่มีการพูดถึงการทำทะเบียนการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยหรือเคลื่อนย้ายมลพิษจากแหล่งกำเนิด และปัญหามลพิษข้ามแดน ที่ในกฎหมายเขียนไว้อย่างรอบคอบเรื่องการทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ และมาตรการที่จะป้องกัน บรรเทาค่อนข้างดี
ธารา ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมถึงมิติความเป็นธรรมทางสังคม โดยเฉพาะการที่พื้นที่ป่าถูกบุกรุกหรือทำลาย ซึ่งในหลายกรณี ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของชาวบ้าน แต่เป็นผลจากความยากจนและการขาดโอกาสในการเข้าถึงที่ดินทำกินอย่างเป็นธรรม พร้อมเสนอว่า ควรมีกลไกภายใต้กรอบของกฎหมายฉบับนี้ที่จะ ช่วยเหลือหรือสนับสนุนชาวบ้าน แทนที่จะใช้แนวทางลงโทษเป็นหลัก
อีกประเด็นสำคัญ คือ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก กฎหมายฉบับนี้ได้กล่าวถึงการจัดทำ ทะเบียนข้อมูลการปล่อยหรือเคลื่อนย้ายมลพิษ จากแหล่งกำเนิดอย่างรอบคอบ รวมถึง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่กฎหมายได้วางระบบตรวจสอบย้อนกลับ และมาตรการป้องกัน บรรเทาไว้อย่างน่าสนใจ
“มีความหวัง อยากเห็นกลไกเดินไปข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อไปถึงมือของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 2 วาระ 3 หวังว่า จะไม่มีอะไรที่ไปเป็นอุปสรรคระหว่างทาง เราอยากสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับคนที่ทำกฎหมาย ทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน” ธารา กล่าว
รศ.คนึงนิจ กล่าวอธิบายว่าประเด็น “กลุ่มปราะบาง” มีอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ เป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับผลกระทบเมื่อเหตการณ์นั้น ๆ ขึ้น ซึ่งเป็นการเฉพาะอย่างมาก ซึ่งมีคำว่ากลุ่มเปราะบาง อยู่ในกฎหมายที่เป็นกฎหมายเฉพาะ ของ พ.ร.บ. ว่าด้วยการนั้น แต่เนื่องจาก ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กำลังมุ่งไปที่จัดการมลพิษทางอากาศ เพื่อให้ได้มาซึ่งอากาศสะอาด และเป็นอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ เพราะฉะนั้นจึงต้องดูว่า “ใครคือผู้ที่เปราะบางที่ไม่ได้อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแล้วจะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร” และมีความสอดคล้องกับระดับสากล ทำให้ความเปราะบางในที่นี่มีความเฉพาะเจาะจงว่าเกี่ยวกับสุขภาพ จึงไม่ได้รวมกลุ่มอื่น ๆ เข้ามา เนื่องจากมีกฎหมายอื่น ๆ ที่ดูแลอยู่แล้ว
ขณะที่ วีณาริน ลุลิตานนท์ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ตอบคำถามในเรื่อง “มลพิษข้ามแดน” โดยยกตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ ที่มีการปรับปความรับผิดชอบไปที่ต้นตอของปัญหา ให้ผู้ก่อเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าปรับภายใต้กฎหมายฉบับนี้เทียบเท่ากับสิงคโปร์ ซึ่งจะเป็นการโยนภาระกลับไปให้ผู้ปล่อยมลพิษ ซึ่งสำหรับประเทศไทยการลงทุนในการเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านเป็นบริษัทเอกชน
บัณฑูร กล่าวเสริมว่า ในประเด็นมลพิษข้ามแดน จะดูมากกว่า ฝุ่น PM 2.5 จะครอบคลุมมากกว่านั้น และมีเรื่องมืออีก 4 เครื่องมือ ที่นอกเหนือจากมาตรการทางกฎหมายที่นำโมเดลสิงคโปร์มาปรับให้เหมาะสม โดยมีทั้ง
- ความร่วมมือแบบทวิภาคี พหุภาคี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เหตุผล คือ “บางครั้งลมก็พัดฝุ่นควันจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน บางครั้งลมก็พัดจากเพื่อนบ้านมายังประเทศไทย”
- มีการทำแผนที่ความเสี่ยงมลพิษทางอากาศ ความเสี่ยงการเกิดไฟ การตรวจวัดร่วมกัน
- มาตรการการค้ากับสิ่งแวดล้อม สามารถใช้ได้ ไม่ผิดข้อตกลงทางการค้า WTO ไม่ขัดกับข้อตกลงอาเซียน ซึ่งจะดูว่ามาจากแปลงปลูกจุดไหน เพื่อย้อนกลับไปดูว่ามีการเผาหรือไม่
- การปรับโครงสร้างการผลิต คือ ประเทศไทยต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 9 ล้านตันต่อปี แต่ผลิตในประเทศได้เพียง 6 ล้านตัน ทำให้ต้องขยายการปลูก หากสามารถเพิ่มการผลิตให้เพียงพอ เปลี่ยนสูตรอาหารสัตว์จากข้าวโพด เป็นข้าวสาลี ถั่วเหลือง ซึ่งมีการทำวิจัยบ้างแล้ว
รศ.สุรัตน์ บัวเลิศ ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า โมเดลหมอกควันข้ามแดน หากยึดสิงคโปร์อย่างเดียวอาจจะไม่สำเร็จ เนื่องจาก ประเทศเพื่อนบ้านที่ทำการเกษตรของไทย มีความเปราะบางมากกว่ากรณีของสิงคโปร์ ที่สำคัญ ผู้ที่ดูแลคือรัฐบาลกับรัฐบาล แต่ที่ไทยไม่ใช่แบบนั้น
อาคม สุวรรณกันธา รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ คือความหวังสำคัญที่ภาคเอกชนรอคอยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในหมวดสุดท้ายของกฎหมาย ที่กล่าวถึง บทบาทและความรับผิดชอบของภาคเอกชน ในการจัดการกับปัญหามลพิษ ซึ่ง ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ เผชิญกับฝุ่นควันมานานกว่า 20 ปี เป็นพื้นที่ที่ค่าฝุ่นพุ่งสูงติดอันดับโลกมาหลายปี ซึ่งปัญหานี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสัมพันธ์โดยตรงกับ สุขภาพและเศรษฐกิจ
“เชียงใหม่ติดอันดับผู้ป่วยโรคปอด และโรคมะเร็งปอดสูงที่สุดในประเทศ เราเชื่อว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยบรรเทาและลดจำนวนผู้ป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจลงได้ในระยะยาว” อาคม กล่าว
อาคม กล่าวต่อว่า กลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ผู้สูงอายุ หรือเด็กเล็ก ล้วนได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันอย่างเลี่ยงไม่ได้ และการแก้ปัญหาฝุ่นควันจะต้องมองอย่างเป็นองค์รวม เพราะ “ฝุ่นควันไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นเรื่องสุขภาพ และเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกัน” พร้อมยกตัวอย่าง ในช่วงปี 2566-2567 ประเทศไทยใช้งบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควัน และในช่วงวิกฤตมลพิษที่กินเวลาราว 3 เดือน ยังเกิด ความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงเดือนละ 15,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมมูลค่าความสูญเสียด้านสุขภาพ
“พวกเราอยากเห็น Quick win เราไม่ติดอะไร ขอเพียงกฎหมายนี้ออกมาโดยเร็ว เพราะเรารอนานแล้ว ถ้านานกว่านี้ ปอดเราจะทะลุแล้ว ใครที่มีลูกคงเข้าใจ เราเลี้ยงลูกกันมาท่ามกลางฝุ่นควัน สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คืออากาศบริสุทธิ์ให้ลูกหลานเราได้หายใจ” อาคม กล่าว
ในมุมของภาคเอกชน อาคม เสนอว่า ควรมีการ ส่งเสริมสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด ให้ประชาชนรู้ว่าตนเองมีสิทธินี้ และเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เช่น ข้อมูลค่ามลพิษ มาตรฐานต่าง ๆ และเปิดทางให้เอกชนสามารถเข้ามามีบทบาทในการบริหารกองทุนอากาศสะอาด รวมถึงร่วมมองปัญหาด้านสุขภาพในภาพรวม ที่ไม่สามารถใช้เส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์มากั้นได้ ตามหลัก 2 ส่งเสริม 6 เปิด 8 ปรับ
นิศานาถ รัตนนาคินทร์ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ การมีส่วนร่วมทำได้อย่างไรภายใต้กฎหมายนี้ ว่า คำถามทั้งหมดมีคำตอบอยู่ในร่าง พ.ร.บ. เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการอ่านทำความเข้าใจ สำหรับเรื่องการทำงานร่วมกลุ่มเปราะบางได้มีการลงพื้นที่ชุมชนในกรุงเทพฯ ของเครือข่ายสลัมสี่ภาค ซึ่งถูกละเลย และพวกเขาไม่ทราบว่าตัวเองใช้ชีวิตท่ามกลางฝุ่น และต้องนอนอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่น ดังนั้นในโครงสร้างของกฎหมาย กลุ่มเปราะบางเราหมายถึงผู้ที่มีชีวิต ไม่ว่าจะมีอาชีพหรืออยู่ที่ใด ในพื้นที่ที่มีมลพิษตลอดเวลา กมธ.มีการคุยเรื่องนิยามนี้ ดูทั้งการดูแล และการเข้าถึงข้อมูล แม้แต่คณะกรรมการในระดับจังหวัด ระดับพื้นที่ ในโครงสร้างเรามีการนำผู้ที่มีบทบาทอยู่แล้ว ทั้งภาคประชาสังคม และภาคประชาชน และโดยในหลักการจะต้องนำไปสู่การมีชีวิตเพื่อสุขภาพของทุกคนและทุกอาชีพ

นิศานาถ รัตนนาคินทร์ และ วีณาริน ลุลิตานนท์
รศ.สุรัตน์ กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและมีสาเหตุจากหลายด้าน การแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือกันของหลายกระทรวง ไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
“ที่ผ่านมา เคยมีการเสนอว่า เป็นไปได้ไหมที่จะมีการตั้ง KPI ข้ามกระทรวง เช่น ระหว่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง” รศ.สุรัตน์ กล่าว
รศ.สุรัตน์ บอกอีกว่า เมื่อมาดูในร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ก็พบว่ามีความพยายามจะแก้ปัญหาในประเด็นนี้อยู่ แต่ก็ยังมีคำถามสำคัญว่า จะทำได้จริงหรือไม่ ? ซึ่งอาจยังไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการจุดประกายความหวัง รศ.สุรัตน์ ตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า กลไกต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบไว้ในกฎหมายนี้จะเชื่อมโยงกันอย่างไร จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าดี และประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่ากลไกนั้นดีจริง
“ถ้าเราสามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า กลไกแบบนี้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร เชื่อว่าหลายคนจะสนใจและพร้อมจะฟัง เพราะทุกคนต่างก็เฝ้ารอว่าในวันข้างหน้า เมื่อกฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศใช้จริงแล้ว จะสามารถตอบโจทย์ได้ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ เมื่อเริ่มใช้กฎหมายจริง จะมีเครื่องมือ วิธีการทำงาน และกลไกต่าง ๆ มากมายที่ต้องนำมาใช้ ซึ่งล้วนเป็นเทคนิคที่ซับซ้อน ใช้ทั้งทรัพยากรบุคคลและมาตรฐานในการดำเนินงานอย่างเข้มข้น จะสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจ หรือแม้แต่ผู้ปฏิบัติงานเอง จะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องใช้เครื่องมือใด ต้องอิงมาตรฐานไหนในการทำงาน” รศ.สุรัตน์ กล่าว
บัณฑูร ตอบคำถามนี้ว่า ตลอดการทำงานของ กมธ. มีการทำงานวิจัยเก็บความรู้ และมีพื้นที่ปฏิบัติการที่ทำจริง ซึ่งเอาผลที่ได้มาเขียนในกฎหมาย อย่าง Airshed เราทำไปพร้อมๆ กัน โดยมี GISTDA ดำเนินการ เพื่อนำมาใช้ในออกกฎหมายลำดับรองต่อไป
พรรษศรณ์ สาครเสถียร กมธ. และที่ปรึกษา ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า ในกฎหมายมีมาตราย่อย 247 มาตรา อาจจะมีการสรุปออกมาให้เข้าใจง่ายว่าหากมีกฎหมายฉบับนี้ประชาชนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น ก่อนจะออกจากบ้านอย่างน้อยให้ตรวจสอบค่าฝุ่นก่อน
กทม. หวั่นอำนาจ “ทับซ้อน” กม.เดิมหรือไม่ ?
พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การทำงานของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เจอฤดูฝุ่น 3 ครั้ง จากการทำงานที่ผ่านมา พบปัญหาเรื่องของอำนาจที่มีจำกัดของ กทม. กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความตื่นตัวมากขึ้น ผ่านกลไกของกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการและข้อเรียกร้องของประชาชนได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหลายอย่างที่ทำให้เห็นว่า กฎหมายฉบับนี้เข้ามาเติมเต็มการทำงานของ กทม. ซึ่งอาจทำให้กรุงเทพมหานครไม่จำเป็นต้องประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ ที่หลายคนกังวลว่าจะกระทบเศรษฐกิจและสังคม

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
พรพรหม กล่าวเห็นด้วยกับมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ โดยระบุว่า คนมักถามว่าเมืองใหญ่ทำไมไม่มี “เขตมลพิษต่ำ” ปีที่ผ่านมา กทม. ดำเนินการภายใต้อำนาจของกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน โดยประกาศให้รถบรรทุกห้ามเข้าพื้นที่ กทม. ชั้นใน แต่ทำได้เฉพาะช่วงที่ฝุ่นเกิดเท่านั้น ไม่มีเชิงป้องกัน มองว่า ควรเปิดช่องทางให้ดำเนินการเชิงป้องกันได้มากขึ้น
“แต่ก็มีคำถามเกี่ยวกับความซ้ำซ้อนของกฎหมายเดิมที่มีอยู่ เช่น พ.ร.บ.ขนส่งฯ กำหนดว่า การจะไปตรวจรถ 6 ล้อ หรือ 6 ล้อขึ้นไป จะต้องเป็นเจ้าพนักงานขนส่งเท่านั้น ซึ่ง กทม. ไม่ใช่เจ้าพนักงานขนส่ง แต่หากมีกฎหมายอากาศสะอาด แล้วเรามี เจ้าพนักงานอากาศสะอาด จะอย่างไรต่อไป ในฐานะหน่วยงานท้องถิ่น ตั้งคำถามว่า กทม. จะอยู่ตรงไหนในระบบบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้” พรพรหม กล่าว
ด้าน กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตอบคำถามเรื่องการบูรณาการด้านกฎหมาย กรมควบคุมมลพิษกับสิ่งเดิมที่มีอยู่ เชาวลิต แจ้งสอน ผู้อำนวยการส่วนพัฒนากฎหมาย และอนุกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับเดียวคงไม่เพียงพอ ซึ่ง คพ. เป็นหน่วยงานที่กำหนดเรื่องมาตรฐานและมาตรการ ซึ่งกำลังจะมีองค์กรใหม่ที่ชื่อว่า “สำนักบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” และตอนนี้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะมีมาตรฐานเพื่อสวัสดิภาพของพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ คิดว่าในฐานะหน่วยงานวิชาการ ควรต้องเตรียมความพร้อมสำหรับหน่วยงานใหม่เช่นกัน หากรัฐบาลพร้อมที่จะออกกฎหมายฉบับนี้ โดยมี สำนักงานบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญ และในส่วนของจังหวัด ก็นับว่าเป็นดาบสำคัญที่สามารถบริหารจัดการด้านอากาศสะอาดได้อย่างเพียงพอ และให้อำนาจกับ เจ้าพนักงานอากาศสะอาด รวมถึงสามารถใช้กฎหมายในการหยุดแหล่งกำเนิดชั่วคราวประเภทอุตสาหกรรมได้ ซึ่งในกฎหมายเดิมไม่มีอำนาจ แต่กฎหมายนี้ให้อำนาจเต็มในการระงับการระบายมลพิษกับแหล่งกำเนิดอุตสาหกรรม
วรนันท์ โทนวนิช เครือข่ายพ่อแม่ตื่นรู้สู้ภัยฝุ่น กล่าวสะท้อนมุมมองของพ่อแม่ มองว่ากฎหมายมีความยาก แม้ว่าจะมีความพยายามทำให้มีความง่ายขึ้นหรือทำเป็นข้อ ๆ แต่เชื่อว่าคนที่อยากจะเข้าใจแบบง่ายขึ้น เพราะอะไรที่ยากอาจจะนำไปสู่วังวนเดิม ที่มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
กัญฐณา อภิรภากรณ์ กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า แม้จะไม่ใช่นักกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่ในฐานะนักสื่อสาร พยายามมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ที่จะทำเรื่องยากให้คนเข้าใจง่าย จนค้นพบว่า บางเรื่องทำให้เข้าใจง่ายไม่ได้ แต่ต้องทำให้คนรู้ว่ายาก และเราหยุดไม่ได้เพราะมันยาก ยิ่งยาก เรายิ่งต้องพยายามเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นจริงให้ได้
วีระศักดิ์ โควสุรัฐ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ใกล้ถึงปลายทาง และเชื่อว่า สามแหล่มเขยื้อนภูเขา กำลังทำงาน คือ เอาความรู้จากภาควิชาการ มีภาคประชาชน ภาคการเมือง เพื่อผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่จะสร้างโอกาสให้เข้าถึงอากาศสะอาดได้ และต้องขอบคุณ กมธ. ที่ทำเรื่องที่ยากมาจนถึงตอนนี้
พร้อมดันเข้าสภาฯ คาดบังคับใช้ ปลาย ต.ค.
จักรพล เผยว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายมีความคืบหน้าแล้วกว่า 85% คาดว่าจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้ทันก่อนเข้าสู่ฤดูหมอกควันช่วงปลายปี ขั้นตอนต่อจากนี้จะรวบรวมความคิดเห็นสาธารณะผ่านเว็บไซต์ ซึ่งมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นแล้วเกือบ 2,000 ราย ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยคาดว่าจะไม่เกิดการตั้งกรรมาธิการซ้ำ ทำให้กระบวนการพิจารณาเดินหน้าได้รวดเร็ว
“หากไม่มีอุปสรรค ร่างกฎหมายอากาศสะอาดจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทันรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นควันที่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนและเศรษฐกิจประเทศ” ประธาน กมธ.อากาศสะอาดฯ กล่าว
จักรพล ชี้ว่า ในกรณีเกิดการยุบสภา ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้กฎหมายหลายฉบับ หลายนโยบายเจอทางตัน แต่หากเกิดจริงกดหมายจะตกไป แต่รัฐบาลชุดถัดไป ก็จะสามารถหยิบมาพิจารณาได้ภายใน 60 วัน ซึ่งนับว่าเป็นความน่ากลัวและความไม่สบายใจในกรณีที่เกิดความไม่ปกติทางการเมือง
ด้าน รศ.คนึงนิจ มองว่า แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่แน่นอน แต่ภารกิจที่ทุกคนร่วมลงมือทำไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับได้ “จะคลอดหรือจะแท้งก่อน ไม่มีใครรู้ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ความคิดมันมาแล้ว ต่อให้ยุบสภา จะยิงจรวดไปดาวอังคาร ก็ไม่หยุดเรื่องนี้ได้” พร้อมเตือนว่า หากจะผลักดันร่างกฎหมายนี้ด้วย พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แทน พ.ร.บ. ก็ต้องมี “เหตุเร่งด่วน” ที่ชัดเจน ไม่ใช่ใช้เป็นทางลัดเพื่อเลี่ยงการพิจารณาในสภาฯ
ด้าน บัณฑูร กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายนี้แม้จะผ่าน ก็ยังต้องอาศัยกฎหมายลำดับรอง และความร่วมมือของหน่วยงานในพื้นที่ เช่น การกำหนดเขตจำกัดการระบายมลพิษ การบริหารจัดการไฟ หรือการออกมาตรการเฉพาะจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่ได้เริ่มเตรียมการไว้แล้ว เช่น ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยกฎหมายฉบับนี้มีความเชื่อมโยงกับกฎหมายเดิม กล่าวคือ
- กฎหมายเดิมหลายฉบับยังคงใช้ต่อ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอุตสาหกรรม หรือกฎหมายด้านคมนาคม
- กฎหมายบางฉบับ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม จะถูกถ่ายโอนบางส่วนมาสู่ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ
- ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะเป็นการเติมเครื่องมือให้รัฐและท้องถิ่นใช้ในการแก้เพนพอยท์เดิม เช่น การควบคุมมลพิษจากรถยนต์ การจัดทำแผนผังอากาศสะอาดในเมือง ฯลฯ
ขณะที่ ธารา สะท้อนภาพการต่อสู้ของการมีอากาศสะอาดทิ้งท้ายว่า จุดเริ่มต้นของปัญหา PM 2.5 ในประเทศไทย มาจากคำถามเล็ก ๆ ของคนรุ่นใหม่ในเชียงใหม่ ที่สงสัยว่าทำไมสถานทูตสหรัฐฯ วัดค่าฝุ่นได้ไม่เหมือนหน่วยงานไทย จาก และคำถามเล็ก ๆ นั้น ได้ขยายกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทั้งประเทศ จากที่มีคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะมีกฎหมายวันนี้พวกเราทุกคนทำให้เขาเห็นแล้วว่า มันเป็นไปได้”