ในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2555 ประเทศไทยมีอัตราการท้องในวัยเรียนที่สูง และมีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV และ AIDs จึงเป็นที่มาของการผลักดันของ พรบ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปี 2559 และมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2560
พระราชบัญัติดังกล่าวกำหนดให้มีการเรียนการสอน ‘เพศวิถีศึกษา’ ในทุกๆ สถานศึกษา ซึ่งตามมาตรา 6 ระบุว่า
- ให้มีการจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาให้เหมาะกับช่วงวัยของนักเรียน หรือ นักศึกษา
- จัดหาผู้สอนและพัฒนาผู้สอนให้สามารถสอนเพศวิถีศึกษา และให้คำปรึกษาในเรื่องการป้องกันและแก้ไขการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
- จัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ คุ้มครองนักเรียน นักศึกษา จัดสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสม
ตามบทบัญญัติดังกล่าว ทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ต้องจัดทำหลักสูตร “เพศวิถีศึกษา” เพื่อให้บรรดาโรงเรียนต่างๆ ทำการสอนและเรียนรู้เพศศึกษา แต่ในความเป็นจริง ข้อกฎหมายมีความจำกัด เนื่องจากหลักสูตรแกนกลางที่บรรจุไว้แค่ 8 วิชา และมีข้อกำหนดจำนวนชั่วโมงเรียนของแต่ละวิชาเอาไว้ ดังนั้น จึงเป็นอุปสรรคต่อการนำเนื้อหาและบทเรียนใหม่เข้าไปในห้องเรียน
แต่… หน่วยงานรัฐบาลไม่ทำงานร่วมกัน
มาตรา 4 ของ พรบ. การป้องกันตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปี 2559 ยังกำหนดให้มี 5 กระทรวงทำงานร่วมกัน คือ กระทรวงอุดมศึกษา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณะสุข
แต่ หน่วยงานของรัฐทั้งในแต่ละกระทรวงไม่ทำงานร่วมกัน จึงทำให้ขาดความร่วมมือในการทำงาน ทั้งที่ การจะผลักดันให้หลักสูตรแบบนี้ใช้ได้จริงในห้องเรียน แต่กลับขาดการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐให้นโยบายเกิดขึ้นจริง และครอบคลุมในทุกพื้นที่
ผลที่ตามมาคือ การขับเคลื่อนนโยบายที่มีความล่าช้า หากร่วมมือกันอย่างจริงจัง ก็จะทำให้หลักสูตรไม่ได้รับการบรรจุในโรงเรียน
สถานะปัจจุบันของเพศวิถีศึกษา
เพศวิถีศึกษาไม่ได้เป็นวิชาที่แยกออกมาเฉพาะ แต่การเรียนการสอนส่วนใหญ่ในโรงเรียนจะมีการนำเนื้อหาบางส่วนเข้าไปอยู่ใน “วิชาสุขศึกษา” หรือวิชาอื่น ๆ มีเพียงโรงเรียนส่วนน้อยที่จัดเป็นวิชาเพิ่มต่างหาก
จุดนี้ถือว่าเป็นปัญหา เพราะสุขศึกษาเป็นวิชาที่มีเนื้อหากว้างขวาง ฉะนั้นการนำเพศวิถีศึกษาเพิ่มเข้าไปในวิชาอื่น จะทำให้การเรียนและสอนเนื้อหาได้เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ตัวชี้วัดของการเรียนเพศวิถีศึกษา มีเวลาประมาณ 4 คาบ ซึ่งหมายความว่าการที่จะทำให้เด็กเรียนรู้ถึงเพศวิถี การเข้าใจตัวเองและสังคมที่เปลี่ยนแปลงนั้นแถบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยการเรียนการสอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ยิ่งกว่านั้น เราต้องเข้าใจว่า สุขศึกษา ≠ เพศวิถีศึกษา ในบริบทประเทศไทย วิชาสุขศึกษาไม่เหมือนและไม่ใช่วิชาเพศศึกษา เป้าหมายของวิชาสุขศึกษาคือการให้เด็กรู้จักการดูแลตัวเอง ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และอนามัย สภาพแวดล้อม รวมถึงภัยพิบัติ
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เนื้อหาของวิชาเพศวิถีศึกษาสามารถนำไปเชื่อมได้ในหลายวิชา เช่น สังคม วิทยาศาสตร์ หรือ วรรณคดี เป็นต้น แต่ต้องมีการนำเนื้อหาเข้าไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้การเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาเกิดขึ้นจริง ซึ่งในต่างประเทศบางประเทศใช้วิธีนี้ในการสอนวิชาเพศวิถีศึกษา
ติดกับดัก ค่านิยมเก่า
อีกหนึ่งในปัญหาหลักในการผลักดันเรื่องนี้คือ ค่านิยมของสังคมไทยที่ให้ค่าและให้ความสำคัญต่อคะแนน ผลการสอบ ซึ่งไม่ใช่หัวใจของการเรียนเพศวิถีศึกษา
เพราะการกำหนดเป้าหมายการจัดการศึกษาของหน่วยงานการศึกษา ไม่ได้มีทิศทางที่เป็นการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้เพื่อนำมาพัฒนาตนเองและสังคม กระทรวงและโรงเรียนต่างเน้นทิศทางการพัฒนาคนให้เข้าสู่อาชีพ การทำงานเป็นหลัก
แสงจันทร์ เมธาตระกูล จากองค์กร path2health foundation ผู้ที่ผลักดันเรื่องเพศศึกษามาเป็นเวลานาน ชี้ให้เห็นว่าการที่โรงเรียนต่าง ๆ ขึ้นป้ายแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของนักเรียนที่มีผลการเรียนดี การแห่สอบเข้าโรงเรียนที่มีผลวิชาการเป็นเลิศ ผู้บริหารโรงเรียนเหล่านี้จะได้รับการเชิดชูเกียรตินั้น สะท้อนให้เห็นหลายอย่าง ว่าค่านิยมของสังคมยังไม่เปลี่ยน และสังคมไม่ได้ให้คุณค่ากับการพัฒนาคนที่ไม่สามารถวัดได้จากตัวเลขหรือการสอบ โรงเรียนที่มุ่งดูแลเด็กที่ตกหล่นจากระบบ เด็กที่ตกเกณฑ์ ไม่ได้รับการส่งเสริมหรือดูแลอย่างเต็มที่ การพัฒนาทักษะชีวิตไม่ค่อยมีการพูดถึง
แสงจันทร์ เมธาตระกูล
การต่อสู้เพื่อการเรียนรู้เพศวิถีศึกษาของเด็กและเยาวชนเป็นตัวอย่างของความพยายามสวนกระแสดังกล่าวในสังคม ซึ่งสายไหมชวนคิดต่อว่า “กลับมาที่โรงเรียน มีหน้าที่ทำอะไร? เราทำเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์หรือไม่”
‘เพศวิถีศึกษา’ ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ
เราอาจจะมีภาพจำเกี่ยวกับคำว่า ‘เพศศึกษา’ ว่าเป็นการเรียนการสอนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน หรือเพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
แต่ทว่า ในปัจจุบันคำศัพท์นี้ได้มีการพัฒนามาเป็นคำว่า “เพศวิถีศึกษา” หรือ “เพศวิถีรอบด้าน” Comprehensive Sexuality Education (CSE) เพื่อให้ชื่อของวิชามีความครอบคลุมเนื้อหาที่ก้าวหน้าตามบริบทของสังคมมากขึ้น
สายไหม เป็นหนึ่งในผู้ผลักดันเรื่องเพศวิถีศึกษาอธิบายว่า
เพศวิถีศึกษา คือ การให้เด็กรู้จักตัวเอง ตัวเอง เข้าใจและจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น รู้จักสิทธิของตัวเองและผู้อื่น เรียนรู้เพศที่แตกต่าง ความเท่าเทียมเรื่องเพศ การปฏิบัติตนกับผู้อื่นอย่างเคารพและไม่ละเมิดความเป็นตัวตนของคนอื่น
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าการสอนเรื่องเพศวิถีมีมิติเนื้อหามากกว่าแค่เรื่องร่างกาย การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ถึงว่าสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะเป็นการเตรียมตัวให้เด็กเติบโตไปอย่างแข็งแรงและคุณภาพ
กลไกภาครัฐแข็งทื่อและขาดองค์ความรู้
ถึงแม้ว่าคำนิยามของเพศวิถีศึกษาและสังคมไทยปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่การเรียนการสอนในห้องเรียนนั้นยังห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น และเหตุผลหลักคือประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอของภาครัฐ
จากใจคนที่ทำงานด้านการศึกษา คนที่เป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนเพศวิถีศึกษา และผ่านการร่วมงานกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สายไหม ชี้ว่า ศธ. ต้องการพลังจากนักการศึกษาหรือนักวิชาการที่เข้าใจเรื่องการศึกษาเข้ามาทำงานจริงๆ เพื่อที่จะทำให้การทำงานต่างๆ สำเร็จและเกิดความเปลี่ยนแปลง
ข้อสังเกตุชัดๆ คือ ตั้งแต่ตำแหน่งบริหารระดับสูงไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรี รองรัฐมนตรี ไม่ใช่คนสายการศึกษา “พอทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยคนที่ไม่เข้าใจ ขาดความรู้ที่ลึกซึ้งด้านการศึกษา และการทำงานที่เป็นแนวดิ่ง ความพยายามต่างๆ ที่ใส่เข้าไปจึงไม่เกิดผลประโยชน์”
นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังขาดการพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นสากล “กระทรวงศึกษาเป็นกระทรวงที่ว่าถึงการเรียนรู้ เราก็คาดหวัง แต่พอเข้าไปทำงานด้วย มันหาไม่เจอ ไม่แปลกใจที่จะเห็นว่าเนื้อหาเพศศึกษา หนังสือเรียนที่ใช้ยังเหมือนมาจากอดีต ”
เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ศธ. อาจถูกมองว่าเป็นกระทรวงที่มีความล้าหลัง แต่ สายไหม เน้นว่าเรายังต้องเข้าไปทำงานด้วยเพราะ “เราเห็นว่า ศธ. ต้องมีพาร์ทเนอร์ทำงานในประเด็นที่เป็นความก้าวหน้า เขาเคลื่อนตัวช้า แต่เราต้องนึกถึงประโยชน์สุดท้ายคือเด็กและเยาวชน ครู นักเรียนที่กำลังเติบโต”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ชำแหละการศึกษาไทย: “การเมือง”ฉุดปฏิรูป ทำอันดับรั้งท้ายโลก