ThaiPBS Logo

ความยากจนเกษตรกรไทย ฉุดคุณภาพชีวิตเด็ก

2 ก.ย. 256718:35 น.
ความยากจนเกษตรกรไทย ฉุดคุณภาพชีวิตเด็ก
  • ครัวเรือนเกษตรที่มีเด็กและเยาวชน ร้อยละ 19.6 ยังมีฐานะยากจน
  • เด็กอาจต้องช่วยครอบครัวทำงานหารายได้เพิ่ม ทำให้มีเวลาพอไม่เพียงพอกับการเรียน อีกทั้งไม่อยากเรียนต่อในระดับสูง เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูง
  • โรงเรียนในพื้นที่ชนบทมีน้อย และยิ่งเป็นโรงเรียนที่มีระดับการศึกษาสูงก็ยิ่งอยู่ห่างไกลบ้านมาก สร้างภาระต้นทุนให้กับนักเรียนเพิ่มขึ้น
  • เด็กในครอบครัวเกษตรส่วนใหญ่อยู่กับปู่ย่าตายายที่ได้รับการศึกษาน้อย ทำให้ไม่สามารถส่งเสริมการเรียนของเด็กได้ดีเท่าที่ควร
ครอบครัวเกษตรกรไทยที่มีเด็กและเยาวชน มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมากถึง 19.6% อีกทั้งโรงเรียนพื้นที่ชนบทห่างไกลและเข้าถึงยาก ทำให้เด็กไม่ได้รับการศึกษาเท่าที่ควร และเลือกศึกษาในระดับไม่สูงมาก

เด็กไทยจำนวนนับล้านคนกำลังมีปัญเข้าไปไม่ถึงระบบการศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กในครัวเรือนเกษตรกรรมของไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จากรายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัวประจำปี 2024 ของคิด for คิดส์ ร่วมกับ The101.world พบว่าเด็กที่เติบโตในครัวเรือนเกษตร อายุไม่เกิน 25 ปี มีจำนวน 7.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.2 ของจำนวนเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ โดยนับรวมทั้งที่เป็นผู้ประกอบการและแรงงานการเกษตร กิจกรรมการเกษตรตั้งแต่ปลูกพืช ป่าไม้ หาของป่า เลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์ และประมง

ครอบครัวเกษตร 19.6% ฐานะยากจน

ข้อมูลสํานักงานสถิติแห่งชาติในปี 2023 เผยว่า ครัวเรือนเกษตรที่มีเด็กและเยาวชน มีรายได้เฉลี่ย 21,983 บาทต่อเดือน  และสินทรัพย์สะสม 117,820 บาท น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของครัวเรือนทั่วประเทศร้อยละ 23.1 และ 22.3 ตามลำดับ

เมื่อเทียบตามเกณฑ์เส้นความยากจนที่รายได้ 2,997 บาทต่อคนต่อเดือน เด็กและเยาวชนในครัวเรือนเกษตรร้อยละ 19.6 ยังมีฐานะยากจน สูงกว่าสัดส่วนเด็กและเยาวชนยากจนทั้งประเทศ เกือบหนึ่งเท่าตัวหรือร้อยละ 9.25 สถิติข้างต้นสะท้อนว่าพวกเขามีแนวโน้มเผชิญความยากลำบากในการดำรงชีพ

ซึ่งความไม่แน่นอนของรายได้การเกษตร ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความฝันของเด็ก โดยครัวเรือนเกษตรกรรมที่ปลูกพืช ต้องประสบกับความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำและสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลหรือปีการผลิต โดยเฉพาะเกษตรกรนอกเขตชลประทานที่พึ่งพาน้ำฝนในการเพาะปลูก อีกทั้งเสี่ยงกับโรค แมลง และศัตรูพืชซึ่งไม่อาจคาดหมายได้ รวมถึงปัจจัยการผลิตหลายชนิดยังมีต้นทุนผันผวนตามราคาตลาด เช่น ยากำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยที่แม้จะราคาสูงแต่ก็ยังจำเป็นต่อการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตดี ซึ่งส่งผลให้ปริมาณผลผลิตไม่แน่นอนตามไปด้วย โดยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา (2012-2024) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณผลผลิตพืชเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 7.4 ต่อปี และในปี 2020 ผลผลิตน้อยลงจากปีก่อนหน้าเกือบร้อยละ 15.66

ขณะเดียวกันราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ก็ผันผวนตามกลไกตลาดโลก โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี แม้รัฐบาลจะมีนโยบายอุดหนุนเกษตรกร เพื่อเป็นหลักประกันรายได้จากความผันผวนดังกล่าว แต่เงินอุดหนุนส่วนมากก็ถูกจ่ายไปยังเกษตรกรรายใหญ่ ซึ่งไม่ใช่รายย่อยที่มีแนวโน้มยากจนเปราะบาง และต้องการการสนับสนุนมากที่สุด ดังนั้นครัวเรือนเกษตรจึงมีรายได้ไม่แน่นอนสูงในแต่ละฤดูกาล หรือปีการผลิต

นอกจากรายได้ไม่แน่นอนในแต่ละปีแล้ว ครัวเรือนเกษตรยังมีรายได้ไม่คงที่ภายในปีหนึ่งๆ ด้วย สำหรับครัวเรือนที่มีกำไรการเกษตรเป็นหลัก ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวและขายผลผลิตจะมีรายได้ก้อนใหญ่ ซึ่งเงินก้อนนี้ต้องแบ่งใช้ และจะลดลงตามลำดับจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวถัดไป หากเงินก้อนนี้ไม่พอใช้จ่ายก็จะต้องพึ่งพางานรับจ้างอื่นที่ไม่มีความแน่นอนในแต่ละวัน

ส่วนครัวเรือนที่ไม่มีกำไรจากการทำการเกษตร ก็ต้องอาศัยรายได้จากการรับจ้างเป็นหลัก โดยรายได้แหล่งเดียวที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ได้รับอย่ำงสม่ำเสมอ คือ สวัสดิการรัฐ เช่น เงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเบี้ยผู้สูงอายุ

เด็กช่วยครอบครัวทำงานบั่นทอนการเรียน

คิด for คิดส์ และ The101.world ยังพบว่า รายได้ส่งผลให้เด็กครัวเรือนเกษตรไม่สามารถกินดูอยู่ดีเท่าที่ควร โดยในช่วงขาดรายได้ ครอบครัวจำเป็นต้อลดการอุปโภคบริโภคในระยะสั้น และเด็กจะถูกลดเงินที่ได้ไปโรงเรียน หากตรงกับช่วงที่มีรายจ่ายสูง ครอบครัวก็อาจไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเรียนของเด็ก เช่น ค่าเครื่องแบบนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน ซึ่งอาจทำให้เด็กขาดแคลนสิ่งเหล่านั้น หรือครอบครัวต้องยอมไปกู้เงินเป็นหนี้มากขึ้นเพื่อมาจ่าย

นอกจากนี้เด็กอาจต้องช่วยครอบครัวทำงานหารายได้เพิ่ม หรือทำงานอย่างอื่นแทนผู้ใหญ่ เพื่อให้ผู้ใหญ่มีเวลาออกไปหารายได้เพิ่มมากขึ้น แม้การทำงานจะเป็นนอกช่วงเวลาเรียน แต่ก็พบว่าเด็กที่ทำงานหนักจะเหนื่อยสะสมจนกระทบกับการเรียน หรือไม่มีเวลาทำการบ้าน รวมถึงกรณีครอบครัวที่ขาดรายได้รุนแรง เด็นจะต้องหยุดเรียนและทำงานในเวลาเรียนเป็นครั้งคราวด้วย

จากความไม่แน่นอนด้านรายได้ของครอบครัว ทำให้เด็กหลายมีทัศนคดีไม่อยากเสี่ยงลงทุนกับเป้าหมายที่เห็นผลช้า และมีความไม่แน่นอน เช่น ไม่อยากลงทุนเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปนานหลายปี เพราะไม่มั่นใจว่าการเงินทางบ้านจะมีเพียงพอจ่ายค่าเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาหรือไม่ ทั้งนี้เด็กจะเลือกจำกัดฝันในแบบที่เห็นผลได้ง่าย รวดเร็ว และแน่นอน เช่น อยากรีบหางานที่มีรายได้ดีระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะที่สูง

เด็กครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่ฝันอยากทำงานทักษะต่ำถึงปานกลาง เพราะคนรอบตัวทำแล้วมีรายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยนของคนในท้องถิ่น เช่น พนักงานทวงหนี้นอกระบบ พนักงานร้านสะดวกซื้อ ร้านชำ และร้านอาหาร กรรมกรก่อสร้างและโรงงาน คนขับรถ และไรเดอร์ ซึ่งมีเด็กเพียงส่วนน้อยที่ตั้งเป้าหมายถึงอาชีพทักษะสูงในพื้นที่ เช่น ครู พยาบาล และตำนรวจ ดังนั้นเด็กจำนวนมาจึงไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องศึกษาต่อขั้นสูง และต้องการเพียงวุฒิมัธยมศึกษา ซึ่งมองว่าเพียงพอสำหรับอาชีพที่ตนมุ่งหวัง

โรงเรียนชนบทห่างไกล-เข้าถึงยาก

ขณะเดียวกันการศึกษาในพื้นที่ชนบทยังเข้าถึงได้ยากและมีคุณภาพต่ำ โดยในต่างจังหวัดสถานศึกษามักตั้งอยู่ไกลจากบ้านของนักเรียน ซึ่งสถานศึกษาทุกประเภทกระจายอยู่เฉลี่ย 0.1 แห่งต่อพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีสถานศึกษาทุกประเภทเฉลี่ย 0.5 แห่งต่อพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยิ่งระดับการศึกษาสูงมากขึ้น สถานศึกษาก็จะยิ่งมีน้อยลงและห่างไกลมากขึ้น

จากประเด็นดังกล่าวทำให้เด็กในครัวเรือนเกษตรหลายคนต้องนั่งมอร์เตอร์ไซค์ รถสองแถว หรือรถโรงเรียนข้ามอำเภอหรือจังหวัด เพื่อเดินไปเรียน ทำให้มีต้นทุนในการเดินทางสูง คิดเป็นร้อยละ 3.3 ของรายได้ต่อคนของครัวเรือน สูงกว่าต้นทุนของเด็กนักเรียนในเมืองเล็กน้อยที่ร้อยละ 3.0 และยังไม่นับรวมกลุ่มที่บ้านอยู่ไกลจนต้องย้ายไปอยู่หอพักใกล้โรงเรียน ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนขึ้นไปอีก

ปู่ย่าตายายในชนบทไม่การเติบโตเด็ก

ครัวเรือนเกษตรจำนวนมากเป็น “ครัวเรือนแหว่งกลาง” คือ มีปู่ย่าตายายอาศัยอยู่กับหลานเท่านั้น จากผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2023 พบว่า เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี ในครัวเรือนเกษตร ไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ คิดเป็นร้อยละ 31.9 และครัวเรือนลักษะนี้จะกระจุกตัวนอกเขตชลประทาน เพราะมีรายได้การเกษตรต่ำและไม่แน่นอน พ่อแม่จึงมีแนวโน้มอพยพออกไปทำงานที่อื่นมากกว่า

โดยทั่วไปครัวเรือนแหว่งกลาง มักเผชิญปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของผู้ปกครองที่เป็นปู่ย่าตายายกับบุตรหลาน อีกทั้งผู้ปกครองเหล่านี้มักเข้าไม่ถึงการศึกษามากนัก ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 68.6 ที่สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น จึงทำให้ผู้ปกครองกลุ่มนี้ไม่สามารถสอนการบ้านเด็ก ส่งเสริมการเรียนรู้นอกโรงเรียน และกระตุ้นให้คิดฝัน และวางแผนอนาคตอันไกลของเด็กได้มากนัก นอกจากนี้ยังปล่อนปละ หรือตามใจเด็ก จนมีปัญหาบานปลายเรื้อรัง เช่น ปัญหาโภชนาการ ติดโทรศัพท์ ติดเกม และติดสารเสพติด โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า กัญชา กระท่อม และยาบ้าน

นอกจากนี้ผู้ปกครองที่เป็นปู่ย่าตายายจำนวนหนึ่งยังอยู่ในภาวะพึ่งพิง เช่น ชราภาพ พิการ ป่วยหนัก และป่วยติดเตียง ส่งให้บุตรหลานต้องรับผิดชอบดูและและหารายได้แทน จึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกีดกันไม่ให้เด็กเติมเต็มความฝันได้อย่างอิสระ

แนะรัฐบาลเพิ่มอุดหนุนเด็ก-ลดต้นทุนการศึกษา

ความไม่แน่นอนของรายได้ในครัวเรือนเกษตรกรจะส่งผลกระทบต่อเด็ก โดยรัฐบาลควรขยายเงินอุดหนุนเด็กและเยาวชนวันเรียนให้ทั่วถึงและเพียงพอ เพื่อเป็นตาข่ายรองรับมิให้พวกเขาถูกกระทบจากความไม่แน่นอนของรายได้การเกษตรรุนแรงเกินไป

ทั้งนี้ควรลดต้นทุนการเข้าถึงการศึกษา โดยจัดตั้งระบบโรงเรียนและ/หรือรถประจำทางสาธารณะในชนบทที่ครอบคลุมและค่าโดยสารต่ำ รวมถึงจัดให้มีที่อยู่อาศัยสำหรับนักเรียนในเมืองศูนย์กลางการศึกษาของแต่ลภูมิภาค พร้อมทั้งลงทุนพัฒนาคุณภาพบริการการศึกษาในชนบท ควบคู่กับกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมตัดสินใจจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความฝันและบริบทของเด็กและเยาวชนในพื้นที่

ชณะเดียวกันรัฐบาลควรส่งเสริมทักษะการเลี้ยงดูและสนับสนุนเด็กและเยาวชนแก่ผู้ปกครองในเชิงรุก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้ปกครองเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยผลักดันบุตรหลานให้กล้าและเติมเต็มความฝันของตนได้อย่างดีที่สุด

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ที่มา : เด็กและครอบครัวไทยที่ไม่ถูกมองเห็น: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2024 

 

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

การปฏิรูปการศึกษา

นโยบาย ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะมาแทนที่ฉบับเก่าปี พ.ศ. 2542 มุ่งสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุมทุกช่วงวัยและหลักสูตรที่เท่าทันโลก รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างองค์กรทางการศึกษาให้สอดรับกับ “การปฏิรูปการศึกษา” ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ล่าสุดยังอยู่ในขั้นตอนการประชาพิจารณ์

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

มีเป้าหมายเพื่อให้จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ‘เป็นศูนย์’ โดยเฉพาะในการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 - ม.3) เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เด็กมีโอกาสพัฒนาชีวิต ออกจากความยากจน ประเทศจะได้แรงงานคุณภาพ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และจัดเก็บรายได้มากขึ้น โดยกุญแจสำคัญเพื่อให้ทำนโยบายเป็นจริงได้คือ ‘ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น'

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การพัฒนาครู

‘เรียนดี มีความสุข’ นโยบายการศึกษา โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งผู้ปกครอง หวังยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษา 2 ข้อหลัก คือ การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การเรียนรู้ตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้ตีกรอบอยู่ในห้องเรียน แต่คนทุกช่วงวัยสามารถพัฒนาทักษะให้ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ได้ตลอดชีวิต รัฐบาลจึงประกาศให้เป็นนโยบายสำคัญ ควบคู่กับ พ.ร.บ. ส่งเสริมการเรียนรู้ ปี 2566 ที่ยกฐานะสำนักงาน กศน. สู่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ หวังยกระดับการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: