ThaiPBS Logo

งานไม่ตรงคน คนไม่ตรงงาน: ภาวะ ‘Mismatch’ ที่กัดกร่อนศักยภาพเศรษฐกิจไทย

15 ต.ค. 256815:44 น.
งานไม่ตรงคน คนไม่ตรงงาน: ภาวะ ‘Mismatch’ ที่กัดกร่อนศักยภาพเศรษฐกิจไทย
  • ในภาพรวม ไทยมีแรงงานที่อยู่ในภาวะการศึกษาสอดคล้องกับงาน (Appropriately Matched) เพียง 31.40% ของแรงงานทั้งหมด ขณะที่แรงงานกว่า 2 ใน 3 ตกอยู่ในภาวะความไม่สอดคล้อง โดยแบ่งเป็น ภาวะการศึกษาสูงกว่างาน (Over-education) คิดเป็นสัดส่วน  35.16% และภาวะการศึกษาต่ำกว่างาน (Under-education) คิดเป็นสัดส่วน 33.45%

 

วันนี้ เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ “Job Mismatch” หรือปรากฏการณ์ความไม่สอดคล้องระหว่างการศึกษากับอาชีพ (Job Mismatch) ในตลาดแรงงาน

ปัญหานี้สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ (Allocative Inefficiency) ซึ่งบั่นทอนผลิตภาพการผลิต (Productivity) และส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพของแรงงาน และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

จากรายงานภาวะสังคมไทยโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2566) พบว่า ในปี พ.ศ. 2565 แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของไทยกว่าร้อยละ 20 มีระดับการศึกษาสูงกว่าคุณสมบัติที่ตำแหน่งงานต้องการ (Over-education) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 10 ปี สะท้อนถึงภาวะ “อุปทานส่วนเกิน” ของบัณฑิตในบางสาขาวิชา ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสถาบันอุดมศึกษาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ในขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถสร้างตำแหน่งงานเพื่อรองรับบัณฑิตเหล่านี้ ส่งผลให้บัณฑิตจบใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะในสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ต้องยอมรับงานที่ไม่ตรงกับวุฒิการศึกษาและไม่สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาได้อย่างเต็มศักยภาพ

ปรากฏการณ์ “การศึกษาสูงเกินไป” ทำให้แรงงานต้องเผชิญกับ “บทลงโทษทางค่าจ้าง” (Wage Penalty) หรือการได้รับค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง นำไปสู่ความไม่พึงพอใจในงานและลดโอกาสที่จะสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ ขณะที่สถานประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน และต้นทุนที่เกิดจากอัตราการลาออกของพนักงานที่สูง (High Turnover Rate) เรื่องดังกล่าวคือการสูญเสียการลงทุนทางการศึกษาของประเทศ บั่นทอนผลิตภาพและศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมโดยรวม และทำให้เป้าหมายการพัฒนาสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความรู้เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

ความไม่สอดคล้องของการศึกษาและอาชีพ หรือ Job Mismatch สามารถจำแนกได้เป็นหลายมิติ ที่พบได้บ่อยคือความไม่สอดคล้องในแนวดิ่งและความไม่สอดคล้องในแนวราบ ความไม่สอดคล้องในแนวดิ่ง (Vertical Mismatch) คือความไม่สอดคล้องในเรื่องระดับ การศึกษา โดยเปรียบเทียบระดับการศึกษาสูงสุดที่แรงงานได้รับกับระดับการศึกษาที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนั้นๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ

  1. การศึกษาสูงกว่างาน (Overeducation) คือสภาวะที่แรงงานมีระดับการศึกษาสูงกว่าระดับที่ตำแหน่งงานต้องการ เช่น บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท แต่ทำงานในตำแหน่งที่ต้องการคุณวุฒิเพียงระดับปริญญาตรี
  2. การศึกษาต่ำกว่างาน (Undereducation) คือสภาวะที่แรงงานมีระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับที่ตำแหน่งงานต้องการ เช่น พนักงานที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการซึ่งควรมีวุฒิปริญญาตรี แต่พนักงานคนดังกล่าวมีวุฒิการศึกษาสูงสุดเพียงระดับอนุปริญญา

ขณะที่ความไม่สอดคล้องในแนวราบ (Horizontal Mismatch) คือเป็นการพิจารณาความไม่สอดคล้องในมิติของ ประเภท หรือ สาขาวิชา ที่ศึกษามา โดยเปรียบเทียบว่าสาขาวิชาที่แรงงานสำเร็จการศึกษามีความเกี่ยวข้องกับลักษณะงานที่ทำอยู่หรือไม่ เช่น บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ประกอบอาชีพในสายงานการตลาดที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้เชิงวิศวกรรมโดยตรง ถือเป็นความไม่สอดคล้องในแนวราบ

เราสามารถวัด Job mismatch ด้วย 3 วิธีหลัก ได้แก่

  1. การวัดโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ (Job Analysis Approach: JA)
  2. การวัดโดยใช้วิธีการทางสถิติ (Realized Matches Approach: RM) และ
  3. การวัดโดยใช้แบบสอบถาม (Worker Self-Assessment Approach: WA)

บทความนี้นำเสนอผลการวิจัยของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญ เพชรสว่าง รองศาสตราจารย์ ดร.วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ และ ดร.ชมพูนุช นันทจิต จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย Job mismatch ในระดับประเทศที่นำเสนอในบทความนี้ ใช้วิธีที่ 2 ซึ่งเป็นวิธีการประเมินเชิงปริมาณที่เกิดขึ้นภายหลังการจ้างงานแล้ว (ex-post) โดยอาศัยข้อมูลสำรวจขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างคุณลักษณะของแรงงานกับผลลัพธ์ในตลาดแรงงาน เช่น ค่าจ้าง

วิธีการนี้จะเปรียบเทียบคุณลักษณะของแรงงานที่ทำงานในตำแหน่งนั้นจริง (Supply Side: workers’ characteristics) กับค่าเฉลี่ยหรือค่ามาตรฐานของคุณลักษณะในตลาดหรือในอาชีพนั้น ๆ (Mock-up Demand: markets’ characteristics) ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะด้านค่าจ้าง จะถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความไม่เข้ากันของงาน (Verdugo & Verdugo, 1989)

ตัวอย่าง จากการวิเคราะห์ข้อมูลสำรวจภาวะการมีงานทำ พบว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานธุรการ (Realized Match) มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทที่ทำงานในสายอาชีพที่ตรงกับวุฒิการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต่างของรายได้นี้ถูกตีความว่าเป็นผลมาจาก ความไม่เข้ากันแนวดิ่ง (Vertical Mismatch) หรือภาวะการศึกษาสูงกว่างาน (Overeducation)

การวิเคราะห์ข้างต้นใช้ข้อมูลทุติยภูมิประเภทข้อมูลจุลภาค (Microdata) จาก โครงการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร พ.ศ. 2567 (Labour Force Survey: LFS) ครอบคลุม 4 ไตรมาส จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำหรับการวัดระดับความไม่สอดคล้องทางการศึกษา โดยใช้วิธีฐานนิยม (Mode Approach) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการเชิงประจักษ์ (Empirical method) ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

วิธีการนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ระดับการศึกษาที่จำเป็นสำหรับแต่ละอาชีพ (Required Education: ​Er) สามารถกำหนดได้จากระดับการศึกษาของแรงงานส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ในอาชีพนั้นๆ กล่าวคือ ค่าฐานนิยมของระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละหมวดหมู่อาชีพนั่นเอง

หลังจากกำหนดระดับการศึกษาที่จำเป็น ( Er​) สำหรับแต่ละอาชีพได้แล้ว จะนำไปเปรียบเทียบกับระดับการศึกษาที่สำเร็จจริงของแรงงานแต่ละบุคคล (Actual Education: Ea​) เพื่อจำแนกสถานะความไม่สอดคล้องออกเป็น 3 ประเภท คือ

  1. ภาวะการศึกษาสูงกว่างาน (Over-education): เกิดขึ้นเมื่อแรงงานมีระดับการศึกษาที่สำเร็จจริงสูงกว่าระดับการศึกษาที่จำเป็นสำหรับอาชีพนั้นๆ (Ea 〉Er​​)
  2. ภาวะการศึกษาต่ำกว่างาน (Under-education): เกิดขึ้นเมื่อแรงงานมีระดับการศึกษาที่สำเร็จจริงต่ำกว่าระดับการศึกษาที่จำเป็นสำหรับอาชีพนั้นๆ (Ea 〈 Er) และ
  3. ภาวะการศึกษาสอดคล้องกับงาน (Appropriately Matched) เกิดขึ้นเมื่อแรงงานมีระดับการศึกษาที่สำเร็จจริงเท่ากับระดับการศึกษาที่จำเป็นสำหรับอาชีพนั้นๆ (​Ea=Er)

ผลการวิเคราะห์ภาพรวมระดับประเทศ พบว่า ในภาพรวมตลอดทั้งปี มีแรงงานที่อยู่ในภาวะการศึกษาสอดคล้องกับงาน (Appropriately Matched) เพียงร้อยละ 31.40 ของแรงงานทั้งหมด ขณะที่แรงงานกว่า 2 ใน 3 ตกอยู่ในภาวะความไม่สอดคล้อง โดยแบ่งเป็น ภาวะการศึกษาสูงกว่างาน (Over-education) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 35.16 และภาวะการศึกษาต่ำกว่างาน (Under-education) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 33.45

นอกจากนั้น ยังพบความแตกต่างที่สำคัญของ Job mismatch ดังแสดงในภาพที่ 1-3

ภาพที่ 1 แนวโน้ม Over-education แยกรายภูมิภาค (รายไตรมาส)

ภาพที่ 2 แนวโน้ม Under-education แยกรายภูมิภาค (รายไตรมาส)

ภาพที่ 3 แนวโน้ม Match แยกรายภูมิภาค (รายไตรมาส)

ข้อแรก ภาคใต้ พบว่าสัดส่วนแรงงานที่อยู่ในภาวะ Over-education สูงที่สุดในประเทศ โดยค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ ร้อยละ 38.39 และในทุกไตรมาสยังคงรักษาระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการที่แรงงานการศึกษาสูงจำนวนมากต้องเข้าสู่ตำแหน่งงานที่ไม่สอดคล้องกับคุณวุฒิ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากโครงสร้างเศรษฐกิจภาคใต้ที่ยังพึ่งพา การเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว เป็นหลัก ทำให้ความต้องการแรงงานที่สอดคล้องกับคุณวุฒิการศึกษาสูงมีอยู่อย่างจำกัด แรงงานจึงมีวุฒิการศึกษามากกว่างานที่ทำ

ข้อสอง ภาคเหนือ แสดงสัดส่วนแรงงานในภาวะ Under-education สูง โดยภาคเหนือมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในประเทศที่ ร้อยละ 38.76 แนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าตลาดแรงงานในภูมิภาคเหล่านี้มีการดูดซับแรงงานเข้าสู่งานที่ต้องการทักษะสูงกว่าระดับการศึกษาที่แรงงานมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในขณะเดียวกัน ภาคเหนือมีแรงงานในกลุ่ม matched น้อยที่สุด เรื่องนี้สะท้อนว่าแรงงานในภาคเหนือยังคงต้องการการสนับสนุนเรื่องทักษะเพื่อให้ตรงกับงานที่มีอยู่

ประการที่สาม กรุงเทพมหานครและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนแรงงานในภาวะ Appropriately Matched สูงที่สุด โดยกรุงเทพมหานครเฉลี่ย ร้อยละ 35.53 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเฉลี่ย ร้อยละ 36.23 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ ร้อยละ 31.67 อย่างมีนัยสำคัญ กรณีของกรุงเทพฯ สะท้อนถึงความหลากหลายของตำแหน่งงานในเขตเมืองใหญ่ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม บริการสมัยใหม่ และภาครัฐ ที่สามารถรองรับแรงงานตามระดับการศึกษาได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น

อย่างไรก็ตาม แม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอัตราการทำงานตรงตามการศึกษาสูง แต่ก็พบว่ามีระดับของ Under Education ในระดับใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นถึง โครงสร้างแบบสองขั้ว (Dual structure) กล่าวคือ แรงงานบางส่วน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา และอุบลราชธานี มีโอกาสทำงานที่สอดคล้องกับวุฒิการศึกษาและทักษะที่ตนมี ขณะที่แรงงานอีกกลุ่มหนึ่งยังคงทำงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับการศึกษาและศักยภาพของตน

จากกราฟสามารถสังเกตได้ว่าตลาดแรงงานมีรูปแบบความไม่สอดคล้องทางการศึกษา (educational mismatch) ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค และรูปแบบดังกล่าวปรากฏซ้ำอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส สะท้อนให้เห็นว่าปรากฏการณ์นี้มิใช่เพียงความแปรปรวนชั่วคราว แต่เป็นคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง (structural feature) ของตลาดแรงงาน

สำหรับบทวิเคราะห์รายจังหวัดนั้น จากภาพที่ 4-6 พบว่า จังหวัดที่มีภาวะ Over-education รุนแรงที่สุด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี นครศรีธรรมราช พัทลุง และพระนครศรีอยุธยา มีข้อสังเกตว่าจังหวัดอย่างพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี และระยอง เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานจำนวนมาก เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอาหารแปรรูป สภาวะ Over-education อาจสร้างต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้กับสถานประกอบการและทำให้ศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล่านี้ลดลงในระยะยาว

ขณะที่จังหวัดที่มีภาวะ Under-education รุนแรงที่สุด คือ ตาก เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และนครสวรรค์ การเร่ง upskill แรงงานจึงเป็นโจทย์เร่งด่วนในจังหวัดเหล่านี้ ขณะที่จังหวัดที่มีแรงงานตรงตามวุฒิการศึกษามากที่สุด (Match) คือ กาฬสินธุ์ สกลนคร นนทบุรี เลย และขอนแก่น

ภาพที่ 4 Over-education แยกรายจังหวัด (ค่าเฉลี่ย 4 ไตรมาส ปี 2567)

ภาพที่ 5 Over-education แยกรายจังหวัด (ค่าเฉลี่ย 4 ไตรมาส ปี 2567)

ภาพที่ 6 Over-education แยกรายจังหวัด (ค่าเฉลี่ย 4 ไตรมาส ปี 2567)

การแก้ปัญหา Job mismatch นั้นไม่ง่าย ระดับการพัฒนาประเทศ ความแตกต่างในการพัฒนาระหว่างเมืองชนบท รวมถึงค่านิยมเรื่องของการศึกษา ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดความไม่ match ระหว่างคนกับงาน สำหรับการลดความรุนแรงของปัญหา Job mismatch นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐ (ในฐานะ Facilitator ของทั้งองคาพยพ) ภาคเอกชน (การสื่อสารทักษะที่ต้องการ ทั้ง hard skills และ soft skills) และ สถาบันการศึกษา (ความยืดหยุ่นในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร ทั้งแบบ degree และ non-degree)

อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องถึงความร่วมมือนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พระเอกของเรื่องอย่างภาครัฐต้อง action มากขึ้น เร็วขึ้น และแรงขึ้น เพื่อให้ทั้งเอกชนและสถาบันการศึกษาขยับตามอย่างเหมาะสม การเปิดพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเยาวชนรุ่นใหม่เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันเพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายทราบถึงความต้องการจากแรงงานที่สะท้อนบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับความแตกต่างของ Job mismatch รายพื้นที่นั้น ภาครัฐควรเสริมบทบาทคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด ให้เป็นกลไกหลักในการพยากรณ์ทักษะ วางแผนกำลังคน และใช้มาตรการจูงใจการลงทุนเพื่อสร้างตำแหน่งงานคุณภาพในท้องถิ่น รวมถึงทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถานประกอบการและสถาบันการศึกษา

นอกจากนั้น เพื่อป้องกันการ “งมเข็มในมหาสมุทร” ภาครัฐอาจนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหา Job mismatch ตัวอย่างคือแอปพลิเคชั่นที่จับคู่ระหว่างอุปสงค์และอุปทานของแรงงาน มีกลไกสำคัญคือ การวิเคราะห์ช่องว่างทางทักษะ (Skill Gap Analysis) และ ระบบแนะนำหลักสูตรฝึกอบรม (Training Recommendation System) โดยอาศัยการ “จับคู่” ทักษะและตำแหน่งงานเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) หลายฝ่าย ได้แก่ ผู้หางาน นายจ้าง องค์กรผู้จัดอบรม (เช่น หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน) และผู้กำหนดนโยบาย (Policymaker) ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลและวางแผนนโยบายด้านแรงงาน การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาจทำเป็น Sandbox ในบางพื้นที่และบางอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์

ตลาดแรงงานไทย มีปัญหา Job mismatch ที่รุนแรง มีเพียง 1 ใน 3 ของแรงงานทั่วประเทศเท่านั้น ที่มีระดับการศึกษาสอดคล้องกับงานที่ทำอยู่ ความไม่สอดคล้องกันนี้ ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวแรงงานเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศ นอกจากนั้น ความแตกต่างของปัญหา Job mismatch ในแต่ละพื้นที่สำทับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่รุนแรง การร่วมมืออย่างจริงจังและเป็นระบบ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนสถาบันการศึกษา จึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดของตลาดแรงงานไทย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

เพราะชีวิตคนคือเศรษฐกิจ: มุมมองเชิงนโยบายจากโรคโควิด-19 สู่ฝุ่นพิษ PM 2.5

คนไทย 24 ล้านคนเสี่ยงจน?: โจทย์ใหญ่รัฐบาลลดความยากจนหลายมิติ

Negative Income Tax (NIT): ความท้าทายในบริบทของไทย

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

หลักสูตรและการเรียนการสอน

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. มหาดไทย ได้ริเริ่มแนวคิดปลูกฝังความเป็นไทย จึงเกิดเป็นข้อตกลง (MOU) “แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย” โดยมีเจ้าภาพร่วมเป็น 4 กระทรวงในสังกัดพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุดมศึกษาฯ

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: