ThaiPBS Logo

คนหนีหลักสูตรการศึกษาไทย แห่ส่งลูกเรียนอินเตอร์

8 ก.ย. 256708:47 น.
คนหนีหลักสูตรการศึกษาไทย แห่ส่งลูกเรียนอินเตอร์
  • นักเรียนไทยมีแนวโน้มลดลงตามจำนวนเด็กที่เกิดใหม่น้อยลง แต่กลับกันโรงเรียนนานาชาติกลับขยายตัวมากขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี
  • ผู้ปกครองนิยมส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติมากขึ้น เพราะหลักสูตรต่างประเทศมีความทันสมัย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากหลักสูตรการศึกษาไทย
นักเรียนไทยมีแนวโน้มลดลงตามจำนวนเด็กที่เกิดใหม่ลดลง ส่งผลโรงเรียนทยอยปิดตัว แต่ไม่ใช่กับโรงเรียนนานาชาติที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะหลักสูตรการศึกษาต่างประเทศมีความทันสมัย แตกต่างจากหลักสูตรไทย ผู้ปกครองที่มีทุนทรัพย์จึงนิยมส่งลูกไปโรงเรียนนานาชาติกันมากขึ้น

คนไทยแห่ส่งลูกเรียนหลักสูตรต่างชาติ

สถิติการเกิดของเด็กไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีจำนวนนักเรียนลดลงตามไปด้วย โดยจากสถิติในระหว่างปี 2555-2567 จำนวนเกิดใหม่ลดลงเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.5% และจำนวนนักเรียนในระบบมีอัตราลดลงอยู่ที่ 0.9% จะเห็นได้ว่าอัตราการลดลงของนักเรียนไปในทิศทางเดียวกับจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลง

แต่กลับกันจำนวนนักเรียนของโรงเรียนนานาชาติ มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเฉลี่ย 6.9% ต่อปี  จากบทวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ เกิดมาจากปลายปัจจัย  หนึ่งในนั้น คือ การเพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติที่สอดคล้องกับจำนวนชาวต่างชาติในตำแหน่งผู้บริหารที่เข้ามาทำงานในไทย ที่เติบโตเฉลี่ย 0.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันความนิยมในหลักสูตรการศึกษาต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย และทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเมื่อเทียบกับหลักสูตรไทย รวมไปถึงศักยภาพการลงทุนด้านการศึกษาของผู้ปกครองที่สูงขึ้น สะท้อนจากคาดการณ์จำนวนคนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ฯในไทย จะเพิ่มขึ้น 24% ระหว่างปี 2566-2571 ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของจำนวนนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ

โรงเรียนนานาชาติโตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี

ย้อนกลับมาที่ภาครวมจำนวนนักเรียนที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทำให้ระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 เกิดการทยอยปิดตัวของโรงเรียน โดยโรงเรียนรัฐบาลมีอัตราการลดลงเฉลี่ยถึง 0.6% ต่อปี รวมไปถึงโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยก็มีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย 0.7% ต่อปี ในทางตรงกันข้าม จำนวนโรงเรียนนานาชาติกลับเติบโตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี สวนทางโรงเรียนประเภทอื่น สะท้อนให้เห้นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของกิจการโรงเรียนสู่หลักสูตรการศึกษาต่างประเทศมากขึ้น

โรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวสู่นอกกรุงเทพฯมากขึ้น ในช่วงปี 2555-2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของจำนวนนักเรียนและจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่ตั้งในภูมิภาคอื่น จะสูงกว่าของกรุงเทพฯ ถึง 4.3% และ 6.3% ตามลำดับ

การแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น และพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่จำกัด ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงเรียนนานาชาติต้องสำรวจตลาดใหม่ ๆ ในหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ ระยอง และภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจใน 21 เมืองหลักได้เติบโตในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ โดยในปี 2565 อัตราการเติบโต GDP ต่อหัวของ 21 เมืองหลักสูงกว่ากรุงเทพฯ ถึง 2% ซึ่งทำให้ตลาดนอกกรุงเทพฯ ดูน่าสนใจมากขึ้น

แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นโอกาสขยายธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไปยังพื้นที่นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก ซึ่งน่าจะเป็นตลาดศักยภาพ เพราะมีจานวนครัวเรือนรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือน รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในแต่ละภูมิภาคมีน้อยกว่ากรุงเทพฯ ทำให้ผู้ประกอบการอาจจะต้องปรับลดค่าเล่าเรียนให้สอดคล้องกับรายได้ผู้ปกครองที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

สำหรับตลาดโรงเรียนนานาชาติไทย คาดว่าในปี 2567 มูลค่าจะเติบโตราวร้อยละ 13 จากปี 2566 ที่ระดับ 8.7 หมื่นล้านบาท

ความท้าทายโรงเรียนนานาชาติ

1.การเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนโรงเรียนนานาชาติ อาจทำให้ผู้ปกครองพิจารณาส่งบุตรหลานไปศึกษาในต่างประเทศแทน เนื่องจากช่องว่างระหว่างค่าเล่าเรียนเริ่มลดลง ในปีการศึกษา 2567

2.โรงเรียนนานาชาติอาจเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่พัฒนาคุณภาพและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ผู้ปกครองอาจตัดสินใจเปลี่ยนไปเลือกโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่มีการเปิดสอนโปรแกรมภาษาอังกฤษ และสอนหลายภาษา เช่น ไทย อังกฤษ และจีน เป็นต้น ซึ่งท้าทายจุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติในด้านภาษา

3.การพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้การเรียนโฮมสคูลง่ายขึ้น และเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนโฮมสคูลต่ำกว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติ จึงอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้ โดยค่าใช้จ่ายในการสอบ GED (เทียบวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ) รวมกับค่ากวดวิชาแบบเรียนตัวต่อตัว 100 ชั่วโมง จะอยู่ที่ประมาณ 160,800 บาท

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

การปฏิรูปการศึกษา

นโยบาย ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะมาแทนที่ฉบับเก่าปี พ.ศ. 2542 มุ่งสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุมทุกช่วงวัยและหลักสูตรที่เท่าทันโลก รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างองค์กรทางการศึกษาให้สอดรับกับ “การปฏิรูปการศึกษา” ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ล่าสุดยังอยู่ในขั้นตอนการประชาพิจารณ์

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

มีเป้าหมายเพื่อให้จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ‘เป็นศูนย์’ โดยเฉพาะในการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 - ม.3) เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เด็กมีโอกาสพัฒนาชีวิต ออกจากความยากจน ประเทศจะได้แรงงานคุณภาพ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และจัดเก็บรายได้มากขึ้น โดยกุญแจสำคัญเพื่อให้ทำนโยบายเป็นจริงได้คือ ‘ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น'

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การพัฒนาครู

‘เรียนดี มีความสุข’ นโยบายการศึกษา โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งผู้ปกครอง หวังยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยมีแนวคิดในการจัดการศึกษา 2 ข้อหลัก คือ การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การเรียนรู้ตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้ตีกรอบอยู่ในห้องเรียน แต่คนทุกช่วงวัยสามารถพัฒนาทักษะให้ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ได้ตลอดชีวิต รัฐบาลจึงประกาศให้เป็นนโยบายสำคัญ ควบคู่กับ พ.ร.บ. ส่งเสริมการเรียนรู้ ปี 2566 ที่ยกฐานะสำนักงาน กศน. สู่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ หวังยกระดับการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: