แม้ว่าขบวนการแรงงานจะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐไทยยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม และ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการรวมตัวและสิทธิในการเจรจา (ILO 87, ILO 98) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ทว่ารัฐไทยยังไม่ลงนามให้สัตยาบันในอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ
แม้ว่าอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ เป็นการคุ้มครองสิทธิการรวมกลุ่มของแรงงานในการเจรจาต่อรองเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น 2 ใน 8 ของอนุสัญญาหลักของ ILO ที่ถือกันว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานก็ตาม
รู้จักองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ILO” เป็นองค์กรสากลที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อส่งเสริมให้รัฐบาล นายจ้าง และสหภาพแรงงานทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความยุติธรรม ด้วยความตระหนักว่า ความยุติธรรมจะนำมาซึ่งสันติสุขอย่างยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนความเป็นธรรมและสิทธิมนุษยชนในการใช้แรงงาน และยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีของคนทำงาน
ภารกิจและบทบาทสำคัญของ ILO คือ วางนโยบายและโครงการระหว่างประเทศที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของแรงงาน กำหนดมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศในรูปแบบข้อเสนอแนะเพื่อให้ประเทศสมาชิกใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ รวมทั้งอนุสัญญาซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกให้สัตยาบันลงนามในอนุสัญญา แล้วปฏิบัติตามบทบัญญัติและเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด
ปัจจุบัน ILO มีสมาชิกรวม 187 ประเทศ มีอนุสัญญาทั้งหมด 189 ฉบับ ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศสมาชิกมาตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งสถาบัน และเป็นหนึ่งใน 45 ประเทศสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง และลงนามอนุสัญญาไปแล้ว 18 ฉบับ
อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87
ILO 87 หรือ อนุสัญญาว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว (Ratifications of C087 – Freedom of Association and Protection of the Right to Organise Convention, 1948) มีสาระสำคัญดังนี้
- นายจ้างและคนทำงานทุกคนทั้งในภาครัฐหรือเอกชน แรงงานในระบบหรือนอกระบบ มีสิทธิที่จะรวมตัวจัดตั้ง หรือเข้าเป็นสมาชิกองค์กรของตน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากหน่วยงานใดๆ
- การรวมตัวนั้นเป็นไปได้อย่างเสรี ปราศจากการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางด้าน เชื้อชาติ อาชีพ ศาสนา เพศ อายุ ความคิดเห็นทางการเมือง สีผิว
- องค์กรมีเสรีภาพในการยกร่างธรรมนูญข้อบังคับขององค์กร คัดเลือกผู้แทนขององค์กร และจัดการบริหารภายในองค์กร
- องค์กรนายจ้างและองค์กรแรงงานมีสิทธิและเสรีภาพที่จะจัดตั้งหรือเข้าร่วมกิจกรรม และเป็นสมาชิก ขององค์กรระดับสหพันธ์ หรือสภา รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศได้
- หน่วยงานของรัฐต้องไม่เข้ามาแทรกแซง องค์การลูกจ้างและองค์การนายจ้างต้องไม่ถูกยุบหรือสั่งพักโดยผู้มีอำนาจของฝ่ายบริหารส่วนราชการ ทหาร และตำรวจ
ปัจจุบันมีประเทศที่ลงนามอนุสัญญานี้ไปแล้ว 158 ประเทศ เช่น ออสเตรีย เบลเยียม กัมพูชา แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ปากีสถาน
อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98
ILO 98 หรือ อนุสัญญาว่าด้วย สิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม (Ratifications of C098 – Right to Organise and Collective Bargaining Convention, 1949) มีสาระสำคัญดังนี้
- รัฐต้องคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวจากการกระทำใดๆ อันเป็นการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำที่ทำให้แรงงานไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพได้ หรือต้องออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพ หรือการเลิกจ้างเพราะการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสหภาพแรงงาน
- รัฐมีหน้าที่ต้องให้ความคุ้มครองแก่องค์กรของนายจ้างและองค์กรลูกจ้างแรงงานให้ปลอดจากการแทรกแซงกันและกัน
- รัฐต้องดำเนินการพัฒนากระบวนการต่างๆ ให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และการเจรจาต่อรองร่วม สามารถบังคับใช้ได้จริง
- รัฐต้องคุ้มครองคนทำงานทุกประเภท รวมถึงทหาร ตำรวจ และข้าราชการที่ไม่ใช่ระดับบริหาร ซึ่งรัฐก็ต้องตรากฎหมายกฎระเบียบขึ้นมาบังคับโดยเฉพาะ เพื่อรับรองว่าคนทำงานกลุ่มนี้จะปลอดจากการถูกเลือกปฏิบัติและการแทรกแชง
ปัจจุบันมีประเทศที่ลงนามอนุสัญญานี้ไปแล้ว 168 ประเทศ เช่น บังกลาเทศ บราซิล ชิลี กรีซ ไอซ์แลนด์ มาเลเซีย เนปาล นิวซีแลนด์
คุณูปการทางเศรษฐกิจของ ILO 87 และ 98
ทั้ง 2 ฉบับนี้มุ่งเน้นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทำงานในการรวมกลุ่ม ซึ่งนำไปสู่คุณประโยชน์ต่อทั้ง แรงงาน นายจ้างและรัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
- เป็นการสร้างหลักประกันสำคัญให้กับคนทำงานในการยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานตามมาตรฐานสากล จัดตั้งเป็นสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง เพื่อสวัสดิการ คุณภาพชีวิตที่ดี เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างเป็นธรรม ลดการเอารัดเอาเปรียบขูดรีดแรงงานและช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน
- ลดช่องว่างระหว่างคนทำงานซึ่งรวมทั้งข้าราชการและพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีพลังและช่องทางในการเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องสวัสดิการและความเป็นธรรมในการจ้างงาน โดยปราศจากการแทรกแซงจากนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชา
- ทำให้การบริหารของรัฐสะดวกมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐสามารถจัดระเบียบปรับปรุงการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลสามารถสร้างความมั่นใจให้คนทำงานในประเทศ และพันธมิตรทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
- สงเสริมให้รัฐไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ช่วยปรับสถานะไทยออกจากรายชื่อประเทศสมาชิกส่วนน้อยของ ILO ที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันอนุสัญญา 2 ฉบับนี้ ซึ่งรัฐไทยเองกำลังถูกประชาคมโลกจับตาและกดดัน กลายมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วใน พ.ศ. 2563 ที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (GSP) โดยสหรัฐ เนื่องจากไทยขาดสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน
- ช่วยลดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ เพราะเปิดช่องทางในการเจรจาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตัดสินใจร่วมกันอย่างเท่าเทียม ระหว่างตัวแสดงตามโครงสร้างไตรภาคี ลูกจ้าง นายจ้างและรัฐ
แม้ว่าจะมีคุณูปการสำคัญต่อกลุ่มผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้ง 3 กลุ่ม หากแต่ที่ผ่านมามีเพียงกลุ่มแรงงาน กลุ่มเดียวเท่านั้นที่กระตือรือร้นเรียกร้องให้มีการลงนามในอนุสัญญา ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 33 ปี และเป็นเวลาเกือบ 80 ปี นับตั้งแต่ ILO เริ่มมีอนุสัญญาฉบับที่ 87 ในพ.ศ. 2491 และ ฉบับที่ 98 ในพ.ศ. 2492
รัฐบาลทุกยุคทุคสมัยมีข้อโต้แย้งและความเห็นต่างออกไป ฝ่ายนายจ้างไม่ได้เห็นด้วยที่ลูกจ้างแรงงานจะมีอำนาจในการต่อรองเพิ่มขึ้น เพราะนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนและกำไรที่ลดลงตามมา รวมทั้งยังคงต้องการรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างตามโครงสร้างทุนนิยม ซึ่งภาครัฐเองก็ฟังเสียงภาคเอกชนมากกว่าเสียงประชาชนคนทำงาน มุ่งรักษาผลประโยชน์นายทุนมากกว่าแรงงาน
ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่เหลือใน 20 กว่าประเทศ ของ 187 ประเทศสมาชิกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ยังไม่ลงนามในอนุสัญญา 2 ฉบับนี้
และเมื่อแรงงานพูดถึงการลงนาม ILO 87 และ 98 รวมทั้งการจัดตั้งสภาพแรงงาน มักถูกขัดขวางด้วยเหตุผลของความมั่นคง การก่อความไม่สงบเรียบร้อย การนัดหยุดงาน การประท้วงรุนแรง การทำลายบรรยากาศการลงทุนการแข่งขันทางธุรกิจ
ข้อโต้แย้งและข้อหักล้างเกี่ยวกับการลงนาม ILO 87 และ 98
ประเทศต่างๆที่ลงนามในอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับไปแล้ว เช่น ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อียิปต์ ฟินแลนด์ เยอรมนี อินโดนีเซีย ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ สเปน ศรีลังกา ยังไม่พบว่า การมีสหภาพแรงงานจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนแข่งขันทางธุรกิจ เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคง
ขณะเดียวกัน นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานไทยก็ได้หักล้างข้อโต้แย้งของภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมเหตุผลหลักฐานประกอบ ดังนี้
- กระทบต่อความมั่นคงของชาติ เพราะแรงงานต่างชาติจะรวมตัวกันมามีอำนาจต่อรองรัฐบาลไทย
ข้อโต้แย้งนี้เป็นเพียงการใช้แนวคิดความมั่นคงเก่า หรือความมั่นคงแบบดั้งเดิม (traditional security) มากเกินไป ที่มุ่งกังวลว่าจะถูกรัฐอื่นรุกราน หรือภัยคุกคามนอกรัฐอยู่ตลอดเวลา มากกว่าจะคำนึงถึงมนุษยธรรมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน การรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วมระหว่างกลุ่มแรงงาน รัฐบาล และนายจ้างในโครงสร้างไตรภาคีนั้น เป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นกลไกหนึ่งของสันติวิธีที่จะช่วยลดทอนปัญหาการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้
อีกทั้งแรงงานข้ามชาติเป็นอีกกลุ่มที่มีคุณูปการอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แรงงานกลุ่มนี้ก็ต้องย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิและมีสวัสดิการที่ดี เสมอหน้ากับแรงงานไทย
- เป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุน สหภาพแรงงานเล็กๆจะเกิดเต็มบ้านเต็มเมือง
จากหลายประเทศที่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญา 2 ฉบับไปแล้วนั้น ยังไม่พบว่าเกิดการจัดตั้งสหภาพเล็กๆ จำนวนมากและทำลายบรรยากาศในการลงทุน ในทางตรงกันข้าม พบว่าเกิดการรวมตัวเป็นสหภาพขนาดใหญ่ ที่ทำให้มีสหภาพจำนวนน้อยลง อีกทั้งการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วมส่งผลดีต่อทั้งรัฐ นายจ้างและคนทำงาน ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนที่แท้จริง
จากการสำรวจพบว่าประเทศที่ยอมรับและส่งเสริมสิทธิการรวมกลุ่มสหภาพแรงงาน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ
- การนัดหยุดงานจะเพิ่มมากขึ้น
อันที่จริงแล้ว การนัดหยุดงานของแรงงาน หรือการรวมตัวกันไม่เข้าทำงาน เพื่อบีบคั้นให้นายจ้างยอม
ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ซึ่งเป็นการหยุดงานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ถือเป็นมาตรการรุนแรง และขั้นสุดท้ายของฝ่ายแรงงาน หลังจากการเจรจาต่อรองระงับข้อพิพาทระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างไม่ประสบความสำเร็จ
ตามหลักการขั้นตอนระงับข้อพิพาทระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างมาดังนี้
- ลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้อง เปิดการเจรจามีการแต่งตั้งผู้แทนในการเจรจาตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
- เมื่อการเจรจาบรรลุข้อตกลงกันได้ ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันเขียนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้างฉบับใหม่ขึ้นมา แล้วนำข้อตกลงไปจดทะเบียนที่สำนักงานแรงงานที่เขตหรือจังหวัด - ในกรณีที่เจรจาตกลงไม่ได้หรือเริ่มขัดแย้งรุนแรง ถือเป็น “ข้อพิพาทแรงงาน” ที่ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องต้องเป็นผู้แจ้งให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานมาไกล่เกลี่ย
- หากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้จึงทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ตามกระบวนการ หากไกล่เกลี่ยไม่ประสบความสำเร็จจะเกิด “ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้” ตามกฎหมาย
- การจัดการ “ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้” นั้นมีทางออก 3 ทาง ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์คือ 1) การตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเป็น “ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน” เมื่อชี้ขาดแล้วถือเป็นการยุติ ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามไม่สามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องต่อได้อีก 2) การนัดหยุดงาน 3) นายจ้าง “ปิดงานงดจ้าง” คือหยุดการดำเนินธุรกิจ นายจ้างจะไม่จ่ายค่าจ้างจนกว่าลูกจ้างจะยอมตามข้อเสนอของนายจ้าง
ดังนั้น การนัดหยุดงานและปิดงานงดจ้าง ถือเป็นมาตรการขั้นสุดท้าย สร้างความเสียหายให้กับทุกฝ่า ลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างตลอดเวลาที่นัดหยุดงานหรือปิดงาน ขณะเดียวกันฝ่ายนายจ้างก็จะไม่ได้ผลผลิต
การมีสหภาพแรงงานทำให้การนัดหยุดงานลดน้อยลง เพราะฝ่ายแรงงานกับฝ่ายนายจ้างมีช่องทางในการเจรจากันอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น หาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันได้อย่างละเอียดรอบคอบ สามารถยุติความขัดแย้งในเบื้องต้นอย่างเป็นระบบและเป็นธรรมได้
และจากการสำรวจในหลายประเทศพบว่า ประเทศที่ยอมรับอนุสัญญา ILO 87 และ 98 มีอัตราการนัดหยุดงานน้อยกว่าประเทศที่ไม่ยอมรับสิทธิ
- ประเทศไทยมีกฎหมายแรงงานสัมพันธ์อยู่แล้ว
ทั้ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ยังมีจุดอ่อน ไม่ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่มอย่างแท้จริง และมีเงื่อนไขที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของแรงงานในการรวมกลุ่ม และแบ่งแยกการรวมกลุ่มของคนทำงาน ซึ่งส่งผลต่อพลังในการขับเคลื่อนสิทธิแรงงาน เช่น
- ทั้ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. พ.ศ. 2518 และพ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ระบุข้อยกเว้นว่า นายจ้างสามารถดำเนินการฟ้องได้ หากการกระทำนั้นทำให้ชื่อเสียงของนายจ้างเสื่อมเสีย ทำให้ที่ผ่านมามีสมาชิกสหภาพแรงงาน,นักสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานถูกบริษัทฟ้องร้องจากการเปิดเผยข้อมูลการละเมิดแรงงานในสถานที่ทำงาน
- ลูกจ้างเอกชนและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถรวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรเดียวกันได้ เพราะกฎหมายได้แบ่งแยกเอาไว้
- สหภาพแรงงานเอกชนกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจไม่สามารถรวมตัวเป็นสหพันธ์แรงงานและสภาองค์การลูกจ้างได้ ขณะที่ ILO ให้สิทธิเสรีในการรวมตัว ก่อตั้งและเข้าร่วม โดยไม่มีการแบ่งเเยก
- กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ห้ามข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ขณะที่อนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ปราศจากการเลือกปฏิบัติในการจัดตั้ง
- กฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กำหนดให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้เพียงแห่งเดียว และลูกจ้างหนึ่งคนจะเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
- เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจแทรกแซงขัดขวางการบริหารการดำเนินกิจกรรมขององค์กรคนงาน ต่างจากอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่แทรกแซงขัดขวางการดำเนินกิจกรรมของแรงงาน
- กฎหมายแรงงานสัมพันธ์บัญญัติว่า หากสหภาพแรงงานเอกชนจะสามารถนัดหยุดงานได้ ต้องจัดประชุมใหญ่เพื่อให้สมาชิกลงคะแนนเสียง หากได้คะแนนเสียงอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด จึงจะสามารถนัดหยุดงานได้ และรัฐมนตรีมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งยุติการนัดหยุดงานหรือกำหนดกิจการที่ห้ามใช้สิทธินัดหยุดงานได้
- พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ห้ามลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทุกประเภทรวมตัวหยุดงาน ตามมาตรา 33 และกำหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงแก่ผู้ฝ่าฝืน ตามมาตรา 77 กำหนดโทษอย่างรุนแรง
- กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ สงวนสิทธิการรวมกลุ่มไว้เฉพาะแรงงานไทยเท่านั้น แรงงานข้ามชาติที่มีจำนวนมหาศาลและมีคุณูปการสำคัญทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถรวมกลุ่มจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ ทำให้ยังไม่มีสิทธิยื่นข้อเรียกร้องด้วยตนเอง แต่ต้องผ่านคนไทยในการเรียกร้อง ทั้งๆที่แรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มที่ถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ได้รับสวัสดิการที่ดี
- กระบวนการทางกฎหมายยังไม่สามารถคุ้มครองสิทธิแรงงานได้เต็มที่ เพราะการตีความของศาล ยังจำกัดสิทธิการรวมตัวของแรงงานชั่วคราวหรือแรงงานสัญญาจ้างที่ไม่นับเป็นลูกจ้างของบริษัทที่ทำงานให้ แต่นับเป็นลูกจ้างของบริษัทที่จัดหางานมาให้ ด้วยเหตุนี้ ทั้ง แรงงานสัญญาจ้าง คนทำงานอิสระ คนรับงานไปทำที่บ้าน ไม่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ขณะเดียวกันนายจ้างเองก็หันมานิยมเพิ่มจำนวนแรงงานสัญญาจ้าง เพื่อลดกิจกรรมในสหภาพแรงงาน
เมื่อนำกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ไทยมาเปรียบเทียบกับ ILO 87 และ 98 แล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพคนทำงานมากกว่า
เส้นทางการขับเคลื่อนเพื่อการรวมกลุ่มของแรงงาน
การขับเคลื่อนเพื่อสิทธิแรงงานในการรวมกลุ่มจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้นมีที่มาที่ไปมายาวนาน ดังนี้
- พ.ศ. 2518 ประเทศไทยเริ่มมี พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 อันเป็นผลจากความแข็งแรงของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนแบบ “3 ประสาน” คือ กรรมกร ชาวนา และนักศึกษา ที่ต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลที่ออกกฎหมายประกันสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวเป็นสหภาพที่มีส่วนช่วยยกระดับแรงงานไทย
- วันที่ 23 ก.พ. 2534 คณะ รสช. นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร ทำการรัฐประหาร หลังจากรัฐประหาร 3 วัน รสช.ได้ประกาศเรียกผู้นำขบวนการแรงงานทั่วประเทศเข้าพบ แล้วออกประกาศ รสช.ฉบับที่ 54 สั่งยุบสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ แยกแรงงานรัฐวิสาหกิจให้ออกจากกันแรงงานภาคเอกชนเพื่อสลายพลังขบวนการแรงงาน
- วันที่ 14 มิ.ย. 2534 ทนง โพธิ์อ่าน ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย จัดชุมนุมเรียกร้องให้คืนสิทธิสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ และให้ยกเลิกประกาศ รสช.ฉบับที่ 54 หลังจากนั้นอีก 5 วัน ทนง โพธิ์อ่าน ถูกอุ้มหาย
- วันแรงงานสากล 1 พ.ค. 2535 ขบวนการแรงงานเริ่มเรียกร้องให้รัฐบาลลงนามในอนุสัญญา ILO 87 และ ILO 98 เป็นครั้งแรก
- พ.ศ. 2552 องค์กรแรงงานระดับชาติส่วนใหญ่ได้ร่วมมือกันก่อตั้ง “คณะทำงานผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98” เคลื่อนไหวให้รัฐบาลไทยพิจารณาการลงอนุสัญญานี้อย่างจริงจัง จนกระทรวงแรงงานได้จัดตั้ง “คณะทำงานประสานการดำเนินงานเพื่อให้สัตยาบันอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98”
- พ.ศ. 2553 นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการด้านแรงงาน นักวิจัยแห่งสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาของสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (Just Economy and Labor Institute) ได้เขียนเอกสารคู่มือสร้างความรู้ความเข้าใจในอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ (อ่านเอกสารได้ที่ https://library.fes.de/pdf-files/bueros/thailand/pdf )
- พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ และให้ร่างแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ก่อนดำเนินการให้สัตยาบัน
- พ.ศ. 2554 นายกรัฐมนตรีเสนออนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับต่อประธานสภาผู้เเทนราษฎร เพื่อขอความเห็นชอบ หากแต่การประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติถอน
- พ.ศ. 2563 สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized Preference System-GSP) เนื่องจากไทยขาดสิทธิแรงงาน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ เสรีภาพในการสมาคมและรวมตัวต่อรอง สิทธิในการหยุดงานและเสรีภาพในการแสดงออก และมีการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
- 6 มี.ค. 2567 องค์กรเครือข่ายขับเคลื่อน ILO ฉบับที่ 87 และ 98 รวม 18 องค์กร เข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานยื่นหนังสือสนับสนุนการลงนามในอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้
- 27 พ.ย. 2567 เครือข่ายขับเคลื่อน ILO ฉบับที่ 87 และ 98 ร่วมด้วยพรรคการเมือง ยื่นหนังสือถึงผู้
แทนเจรจาเขตเสรีการค้าระหว่ างประเทศไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเรียกร้องให้ตัวแทนเจรจานำประเด็น การลงนามของประเทศไทยในอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เข้าการประชุมการทำข้อตกลงเรื่องเขตการค้าเสรี
ความจำเป็นของสหภาพแรงงานและการลงนาม ILO 87 และ 98
ปัจจุบัน มีแรงงานจำนวนมากยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งค่าจ้างและสวัสดิการ ต้องทำงานหนัก หลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต หลายคนยังต้องเผชิญกับการขูดรีดจากนายจ้าง ตั้งแต่ลูกจ้างโรงงานถูกลอยแพ ไม่ได้รับเงินชดเชย ไรเดอร์ต้องจำนนต่อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมในการเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทแพลตฟอร์มรับส่งอาหาร ไปจนถึงแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามเวลา ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เป็นแรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงของไทย กลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลไม่สามารถยุติได้ และแรงงานเองก็ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไข้ปัญหา
สหภาพแรงงานจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในฐานะกลไกในการเจรจาต่อรองเพื่อความสมดุลและเป็นธรรมในการจ้างงาน เป็นสื่อกลางระงับข้อพิพาทระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน
จากสถิติในเดือนมีนาคม 2568 มีประชากรผู้มีงานทำทั้งหมด 40,106,151 คน หากแต่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานน้อยมากดังนี้
- สมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 132,585 คน ในจำนวนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง
- สมาชิกสหภาพแรงงานในกิจการเอกชน 394,259 คน ในจำนวนสหภาพแรงงานในกิจการเอกชน 1,264 แห่ง
ดังนั้น รัฐไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังในการลงนามให้สัตยาบัน ไปพร้อมกับพิจารณาแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้งสองฉบับ เพื่อเป็นหลักประกันรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับลูกจ้างชาวไทยและต่างชาติ ในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งไม่เพียงจะมีคุณประโยชน์ต่อลูกจ้างแรงงาน แต่ยังมีต่อนายจ้างบริษัทห้างร้าน และเศรษฐกิจในระดับมวลรวม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เช็กสิทธิประโยชน์ กรณีถูกเลิกจ้าง-ว่างงาน