บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของนโยบายในแต่ละพรรค พร้อมข้อสังเกตจากมุมมองวิชาการ มีรายละเอียดดังนี้
พรรคภูมิใจไทย
นโยบายเศรษฐกิจของพรรคภูมิใจไทย มีชื่อเรียกว่า “เศรษฐกิจ 10 Plus” ครอบคลุมคนจน ผู้สูงวัย ชุมชน การศึกษา การผลิต (โดยเฉพาะ SME) การลงทุน (โดยเฉพาะ FDI และการลงทุนร่วมรัฐ–เอกชน) สิ่งแวดล้อม AI การค้าในตลาดโลก และสุดท้ายคือการบริหารจัดการภาครัฐซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแต้มต่อสำคัญของพรรคภูมิใจไทยด้านเศรษฐกิจคือการมีบุคลากรที่ “ชำนาญและคุ้นเคย” กับนโยบายการคลังอย่างนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รวมถึงการมี CEO จากภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญด้านบริหารอย่าง ศุภจี สุธรรมพันธุ์
ในภาพรวมนั้น นโยบายเศรษฐกิจของพรรคภูมิใจไทยมีทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น การแก้ไขปัญหาปากท้องอย่างโครงการคนละครึ่งพลัส นโยบายระยะกลางอย่างเพิ่มการลงทุน ที่มีเป้าหมายให้รัฐเพิ่มการลงทุนเป็น 30% ของ GDP ภายใน 4 ปี และนโยบายระยะยาว (ที่อาจไม่เห็นผลในระยะเวลา 4 ปี แต่นับว่ามีความหมาย) อาทิ การศึกษาเท่าเทียมและการปฏิรูปการทำงานภาครัฐ
ข้อคิดเห็นจากฝั่งวิชาการคือ
1) การตั้งเป้าหมายสัดส่วนการลงทุนของรัฐเป็น 30% นั้น เป็นการเพิ่มขนาดและอำนาจของภาครัฐ ซึ่งมีหลายจุดที่ต้องระวัง โดยเฉพาะกฎระเบียบของภาครัฐที่มักเป็นอุปสรรคเสียเองและโอกาสในการเกิดคอร์รัปชัน แม้การลงทุนจากภาครัฐจะสำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในสินค้าสาธารณะที่เอกชนมองว่าไม่คุ้มที่จะทำ
แต่ต้องไม่ลืมว่ากลจักรสำคัญที่นำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปลาย 1980s ถึงต้น 1990s คือการลงทุนของภาคเอกชน (private investment) ซึ่งชะลอตัวและมีบทบาทลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมา นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (business environment) ไม่เอื้อเท่าที่ควร ทั้งจากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองและกฎระเบียบ
ขณะเดียวกัน การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศก็ร้อนแรงลดลงเนื่องจากมีประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจมากกว่า ดังนั้น การตั้งเป้าหมายให้เอกชนเป็นตัวนำในเรื่องการลงทุนผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รักษาเสถียรภาพทางการเมือง และมี political commitment ที่ชัดเจนจากภาครัฐเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน น่าจะเป็น option ที่น่าสนใจมากกว่าในเรื่องการลงทุน
2) การกระตุ้นเศรษฐกิจ (Economic stimulus) นั้น จำเป็นที่จะต้องดู 2 มิติ นั่นคือ ความคุ้มค่าและช่วงเวลา งานวิจัยทางเชิงประจักษ์ทางเศรษฐศาสตร์มีลักษณะ Inconclusive คือไม่ชัดเจนมากนักว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน โดยกลุ่มผู้รับเงินคือประชาชนวงกว้างนั้นมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
นอกเหนือไปจากความชื่นชอบและพอใจในตัวรัฐบาล การเพิ่มขึ้นของยอดขายร้านค้าชั่วคราว (ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นผลดีของโครงการคนละครึ่งพลัส) ต้องนำมาชั่งน้ำหนักกับต้นทุนค่าเสียโอกาสที่งบประมาณเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในโครงการอื่น ๆ ที่อาจมีผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่า
พรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทย มาในแนวคิด “สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน” โดยมีแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจ 10 ด้าน อาทิ การสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ (การลดการขาดดุลงบประมาณและวินัยทางการคลัง) การกระตุ้นดีมานด์ของประชาชน การปลดหนี้ การลงทุนโดยรัฐเป็นตัวนำ การสร้างรายได้จากทรัพย์สินรัฐ การพัฒนาทุนมนุษย์ การเปลี่ยนสถานะของรัฐจากควบคุมเป็นบริการ การยกระดับเศรษฐกิจให้มีมูลค่าสูง ลดสัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบ และลดค่าครองชีพประชาชน นอกจากนั้นยังมีเรื่องรถไฟฟ้า 20บาทตลอดสาย หวยเกษียณ และการพักหนี้เกษตรกร
ในภาพรวม นโยบายเศรษฐกิจไม่ต่างจากพรรคภูมิใจไทยมากนัก คือมีทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และเรื่องที่ต้องใช้เวลาอย่างการพัฒนาทุนมนุษย์และการออม จุดเด่นของนโยบายชุดนี้คือการให้ความสำคัญกับวินัยทางการคลังและการลดการขาดดุลงบประมาณ และการให้ความสำคัญกับเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
ข้อคิดเห็นเชิงวิชาการมีด้วยกัน 2 ประเด็น คือ
1) การพักหนี้เป็นมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น อาจไม่เพียงพอต่อปัญหาหนี้ในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยอาจเพิ่มประเด็นการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย ระยะเวลา และการผ่อนปรน รวมถึงกลไกที่สร้างแรงจูงใจในการชำระหนี้ และการลงลึกไปถึงความมั่นคงทางรายได้ในกลุ่มผู้ถือหนี้ โดยเฉพาะเกษตรกร แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่หนี้ที่เกิดมาจากความจำเป็นเพื่อทำมาหากิน ไม่ใช่การขาดวินัยในการใช้จ่าย ควรได้รับการเหลียวแลเป็นพิเศษ
2) การมุ่งเน้นเศรษฐกิจมูลค่าสูง (High value-added economy) นั้น เป็นเรื่องดีแต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะประเด็นความสามารถในการจ้างงาน (employment generation effect) ของเศรษฐกิจมูลค่าสูง เพราะมักเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ใช้ทุนและเทคโนโลยีเข้มข้น การเพิ่มความสามารถของแรงงานให้ match กับความต้องการของผู้ประกอบการ ต้องอาศัยความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ซึ่งยังไม่เห็นประเด็นดังกล่าวชัดเจนนักจากนโยบายปัจจุบัน
พรรคประชาชน
พรรคประชาชนมาพร้อมกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วย 53 นโยบาย ครอบคลุม 7 ด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจที่เป็นธรรม โครงสร้างพื้นฐานทันสมัย สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยดิจิทัล พลิกโฉม SME และเพิ่มทักษะคนไทย วางยุทธศาสตร์ไทยบนเวทีโลก ท่องเที่ยว กีฬา เศรษฐกิจสร้างสรรค์ พลังงาน และต่างประเทศ
นโยบายใหม่ ๆ ประกอบด้วย หวยใบเสร็จ SMEs ที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการ SMEs ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึง Megaproject เรื่องคน ที่ต้องการเน้นเรื่องทักษะดิจิทัลพื้นฐานผ่านคูปองที่สนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชน รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ของไทย ในภาพรวม นโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาชนยังคงมี License ที่ชัดเจน คือเน้นเรื่องความเท่าเทียมและสวัสดิการของประชาชน แต่ก็ยังมีแนวคิดที่จะ Revitalise เศรษฐกิจ
สำหรับความเห็นทางวิชาการนั้น มีด้วยกัน 2 ประเด็น คือ
1) SMEs (รวมถึงกลุ่ม micro) เป็นกลุ่มที่ใหญ่และมีความแตกต่างกัน เราอาจจะต้องการกลยุทธ์ที่ specific มากขึ้นในการส่งเสริม SMEs ในแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ size เล็กมาก ๆ นั้น อาจเน้นไปที่การแข่งขันในตลาดภายในประเทศผ่านการทำการตลาดและการเพิ่มทักษะ/ความรู้ของบุคลากรในองค์กร (เช่น เรื่องของการจัดการการเงินภายในบริษัทและการวางแผนภาษี) และช่องทางการขายน่าจะเป็น priority ขณะที่กลุ่ม medium นั้น ต้องมองถึงการเข้าไป join ในห่วงโซ่มูลค่าการค้าโลกและการค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งจุดเน้นคือเรื่องเงินทุนและการเข้าถึงเทคโนโลยี
2) อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์เป็นอุตสาหกรรมที่ซับซ้อน ความยาวของห่วงโซ่มูลค่า(supply chain) ทำให้หลายประเทศในอาเซียนต้องการส่วนแบ่งในการผลิต อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า บาง segment ของการผลิตนั้นมีความ monopoly สูง กล่าวคือ มีเฉพาะบางบริษัทในบางประเทศ (เช่น เนเธอร์แลนด์ จีน และไต้หวัน) ที่เก่งในกิจกรรมนั้น ๆ ปัจจุบัน ความสามารถในการผลิตและแข่งขันของไทยกระจุกอยู่ในส่วนของ back-end operation โจทย์คือการสนับสนุนเซมิคอนดัคเตอร์ที่ผ่านนี้ เราจะมุ่งไป font-end หรือไม่ อย่างไร และเงินลงทุนมีเท่าไหร่ ซึ่งยังไม่ชัดเจนมากนักจากนโยบายปัจจุบัน
ในภาพรวม นโยบายเศรษฐกิจของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ มีทิศทางเดียวกัน ประกอบด้วยนโยบายระยะสั้น กลาง และยาว ครอบคลุมเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนและการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs สำหรับพรรคอื่น ๆ นั้น มีนโยบายที่คล้าย ๆ กัน พรรคประชาธิปัตย์มุ่งเน้นที่เรื่องของความยากจนและวินัยการคลัง พรรคกล้าธรรมเน้นเรื่องปากท้องและการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติมุ่งเน้นที่การควบคุมราคาน้ำมันและค่าไฟ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยวันนี้ และอีก 4 ปีข้างหน้า จะเผชิญความท้าทายในหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสงครามการค้า (trade war) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติในอนาคตอันใกล้ ที่ยังไม่มีนโยบายของพรรคการเมืองใดที่ให้ทิศทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมถึงแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการหากระจายตลาด (market diversification) การทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และการต่อยอดและยกระดับอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและเป็นแหล่งจ้างงาน นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องการการสนับสนุนที่จริงจังและต่อเนื่องจากภาครัฐ
สำหรับนโยบายทางสังคม ปัจจุบัน โครงการที่ครอบคลุมประชาชนจำนวนมากที่สุดคือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหา 3 เรื่องด้วยกัน คือ การสำรวจคนจนตกหล่นโดยเพิ่มอำนาจและสรรพกำลังของรัฐบาลท้องถิ่นในการตามหาคนจน การลดจำนวนคนที่ไม่จนออกจากโครงการเพื่อลดภาระทางการคลังที่ไม่จำเป็น และการปรับวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สอดคล้องกับความลึกของความยากจน (depth of poverty) จนมากได้มาก จนน้อยได้น้อย การปรับปรุงโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเรื่องท้าทายเพราะกระทบกับ voter คงไม่มีพรรคใดอยากแตะมากนักหากการปรับปรุงจะทำให้คนบางกลุ่มเสียประโยชน์
อีกประเด็นคือ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สิน จากรายงาน World Inequality Report ปี 2026 พบว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง คนรวยร้อยละ 10 ของประเทศมีสัดส่วนรายได้กว่าร้อยละ 52ของทั้งหมด และถือครองทรัพย์สินกว่าร้อยละ 65
นอกจากนั้น ความเหลื่อมล้ำยังคงเพิ่มขึ้นระหว่างปี 2014 ถึง 2024 โดยความแตกต่างของรายได้ (income gap) ระหว่างคนรวย 10% แรก กับกลุ่มประชากร 50% ห่างกันมากขึ้น โดยความเหลื่อมล้ำรุนแรงกว่าประเทศอื่นในเอเชียอย่างเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม การลดความเหลื่อมล้ำต้องอาศัยเครื่องมือในการกระจายรายได้อย่างภาษีแบบขั้นบันได การเก็บภาษีในกำไรที่ได้จากตลาดทุน การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมถึงนโยบายการช่วยเหลือทางสังคมอย่างตรงจุด ซึ่งยังไม่เห็นไม่ชัดเจนนักว่ามีพรรคการเมืองใดที่พยายามผลักดันประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ในด้านการศึกษาคงหนีไม่พ้นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ระหว่างนักเรียนในกรุงเทพกับต่างจังหวัด และระหว่างนักเรียนจากครอบครัวร่ำรวยกับนักเรียนจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน เรื่องนี้ ต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน การส่งเสริมศักยภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญกว่าคือการลดภาระครูที่ไม่จำเป็น ให้ครูได้ทำหน้าที่สอนอย่างเต็มที่ และลดการดำเนินโครงการ/นโยบายจากส่วนกลางที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทักษะและความรู้ของนักเรียน
ในอีก 2 เดือนข้างหน้า เราคงได้เห็นนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ๆ ของพรรคการเมือง การก้าวข้ามเรื่องของปากท้องและไปแตะประเด็นประเด็นใหญ่ ๆ อย่างนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นโยบายอุตสาหกรรม และการลดความเหลื่อมล้ำ น่าจะช่วยดึงดูดความสนใจจาก voter มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- ส่องนโยบายพรรคการเมือง ทุ่ม”ประชานิยม”ท่ามกลางปัญหาเสถียรภาพ
- ความเหลื่อมล้ำโลกรุนแรง ไทยติดกลุ่มหนักสุดในโลก
- ส่องนโยบายเศรษฐกิจ 3 รัฐบาล “พยายามกระตุ้น แต่สำเร็จน้อย”




