นโยบาย 5 พรรคการเมือง ที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในสนามเลือกตั้ง 69 ยังคงเน้นนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง “แบบประชานิยม” แต่มีพรรคที่ประกาศนโยบายแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว คือ พรรคประชาชน ส่วนพรรคภูมิใจไทย ชูแก้ภัยเศรษฐกิจปากท้อง มี 3 ระยะ ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว
แต่ที่น่าสังเกต คือ พรรคการเมืองเดิม อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ยังยึด “ดีเอ็นเอ” เดิมของพรรค โดยเพื่อไทย เน้นไปที่แก้หาเสียงกับกลุ่มคนรากหญ้า ซึ่งเป็นแนวนโยบายเดิม ๆ ที่มีมานานกว่า 20 ปี เพียงแต่ “ปรับโฉมใหม่”
ขณะที่ประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าแก่ ไม่มีนโยบายอะไรหวือหวาจากเดิม หากดูนโยบายที่ประกาศออกมา มีลักษณะ “อนุรักษ์นิยม”อย่างเด่นชัด ไม่กล้าพูดถึงระดับโครงสร้างใด ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ได้
ข้อจำกัด: นโยบายการหาเสียงของพรรคการเมือง ดูเหมือนว่าสังคมเริ่มจับตามากขึ้นว่า “ทำได้จริงหรือไม่” เพราะคนในสังคมเริ่มตื่นตัวต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล อีกทั้ง คาดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเข้มงวดต่อการประกาศนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในช่วงหลังเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น เมื่อรัฐบาล (ทุกรัฐบาล) เริ่มเจอกับปัญหารายรับไม่เพียงพองบประมาณรายจ่าย ทำให้ต้องกู้เงินมานาน จนต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เป็น 70% ในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี โดยหนี้สาธารณะล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 67%
นอกจากนี้ “เสถียรภาพการเมือง” ยังเป็นประเด็นสำคัญต่อไปอีกนาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง “ได้ง่าย” และกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบายสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้เวลาปฏิบัติ
ข้อจำกัด ทางการเมืองที่สำคัญคือ คดีทางการเมืองต่าง ๆ ที่ยังค้างคาที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย และ ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเมืองในการเมืองยุคหลัง คสช. คือ ลักษณะของรัฐบาลผสม ที่ไม่มีพรรคการเมืองไหนสามารถตั้ง “รัฐบาลพรรคเดียว” ได้
แน่นอนว่า การจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้ง 69 มีแนวโน้มไปในทิศทางรัฐบาลผสม ซึ่งส่งผลให้ “นโยบาย” ที่แต่ละพรรคหาเสียง ที่สุดท้ายแล้วอาจต้องนำมาปรับรวม ส่งผลให้การดำเนินหน้านโยบายตามที่หาเสียงไว้อาจจะมีคำถามว่าเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน ดังเช่น รัฐบาลผสมในช่วงที่ผ่านมา
หากลองมาเปิดนโยบายของแต่ละพรรค แม้จะยังไม่ได้ยื่นสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่พบว่าจุดร่วมในเชิงนโยบายของแต่ละพรรคคือ เรื่องของการเข้าไปช่วยค่าครองชีพระยะสั้น แต่ไม่มีนโยบายในเชิงปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยแต่ละพรรคพยายามชูจุดแข็งที่แตกต่างของตัวเอง
พรรคประชาชน “ไทยไม่เทา เท่ากัน ทันโลก”
พรรคประชาชน ยังคงหาเสียงด้วยกลยุทธ์เดิม ที่เน้นจุดแข็งแบบ “ปฏิรูป” และเปลี่ยนโครงสร้างประเทศมาต่อเนื่อง โดยชูนโยบายการแก้ไขจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นโจทย์การเมืองหลักของพรรค เพื่อเปลี่ยนสมดุลอำนาจและลดสิทธิส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ Motto หาเสียงที่ใช้ คือ “ไทยไม่เทา เท่ากัน ทันโลก” เพื่อย้ำการเปลี่ยนแปลงภายใต้หลักความโปร่งใสและความเท่าเทียม
ชูสู้ทุนเทา แก้ไข “รัฐธรรมนูญ”
นโยบายชุดแรก ที่พรรคประชาชน ชู ยังคงเป้นการต่อสู้กับทุนสีเทา ตามสโลแกน สร้างประเทศไทยไม่มีสีเทา ประเทศไทยที่เท่าเทียม “เท่าทันโลก” โดยเน้นการบริหารทำให้รัฐโปร่งใสมีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมจากประชาชน
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคประชาชนคือ การแก้ไขกติกา รัฐธรรมนูญ ให้ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะกรรมาธอการร่างรัฐธรรมนูญควรจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ส่วนการแก้ไข โครงสร้างที่เป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ได้เสนอให้การปฏิรูปที่ดิน เพื่อสร้างโอกาสสร้างตัวเลือกให้กับเกษตรกร
ขณะที่ชุดนโยบายสวัสดิการ ต้องดูแลคนตั้งแต่เกิดจนเกษียณได้ และกระจายอำนาจ ปฏิรูปอำนาจรัฐ ให้ท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหา และต้องแก้ปัญหาวัยเรียนหลุดออกนอกระบบการศึกษา ดูแลวัยแรงงานในมิติต่าง ๆ สร้างประเทศที่คนอยากมีลูก สร้างเครื่องมือทางดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการกอบกู้ความเชื่อมั่นของรัฐ
เสนอใช้งบ 6.3 แสนล้านลงทุนเพิ่มคุณภาพชีวิต
ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในเชิงของการกระตุ้นรายได้ให้กับประชาชน พรรคประชาชนเสนอนโยบาย “Orange Megaprojects การลงทุนครั้งใหญ่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย” ขอใช้งบ 6.3 แสนล้านบาทใน 8 ปี แบ่งเป็น
- การจัดการน้ำเสีย 6 หมื่นล้านบาท
- น้ำประปาดื่มได้ 7.5 หมื่นล้านบาท
- ขนส่งสาธารณะ 3.7 หมื่นล้านบาท
- การจัดการขยะ 1.83 แสนล้านบาท
- โรงเรียน 5 หมื่นล้านบาท
- โรงพยาบาล 3 หมื่นล้านบาท
- โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 1.92 แสนล้านบาท
กล่าวโดยสรุปนโยบายการหาเสียงของพรรคประชาชน เน้น “รัฐบาลประชาชน” —ต่อต้านทุนเทา/ความไม่โปร่งใส ชูนโยบายใหญ่เป็นแนวคิด “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก” มุ่งลดอิทธิพลทุนเทาและเงินเทาในการเมืองไทย พร้อมขับเคลื่อนการเมืองที่โปร่งใสและให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
นอกจากนี้จะเดินหน้า ปฏิรูปการบริหารประเทศและสร้างระบบที่ “ใหม่”ความมั่นคงและประชาธิปไตยใหม่ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็น “เดิมพันสำคัญ” ของการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยมองว่าการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญมีผลต่อทิศทางการเมืองและอนาคตของประเทศ
พรรคภูมิใจไทย : “พูดและทำ พลัส”
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ที่ดูเหมือนจะโดดเด่น ในแนวทางการหาเสียง จากกระแส “ชาตินิยม”โดยเฉพาะประเด็นไทย-กัมพูชา โดยพรรคภูมิใจไทยประกาศท่าทีชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอธิปไตยและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาค
ขณะที่ Motto ที่ใช้ คือ “พูดและทำ พลัส” เน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง เช่น นโยบายเศรษฐกิจ/โครงการที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง
จุดแข็งของพรรคที่ได้เปรียบพรรคอื่น คือ การใช้ฐานเสียงจากผลการบริหารปัจจุบัน และ จุดขายผลงานที่เป็นรูปธรรม ในช่วงที่เป็นพรรครัฐบาลก่อนยุบสภา โดยเฉพาะประเด็นด้านเงินเยียวยาภัยพิบัติ โครงการคนละครึ่ง/เที่ยวดีมีคืนเฟสต่อไป ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หาเสียงในครั้งนี้
ชูนโยบาย 4 ภัยสานต่อจากรัฐบาลอนุทิน
- ภัยเศรษฐกิจปากท้อง มี 3 ระยะ ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยในระยะเร่งด่วนจะเป็นนโยบายพักหนี้ทุกรูปแบบ 1 คน 100,000 บาท, นโยบายคนละครึ่งพลัส ส่วนระยะยาวจะวางรากฐานเพื่อให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยจะได้สิทธิประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐมากกว่าคนที่อยู่นอกระบบภาษี เช่น บัตร 30 บาทพลัส
- ภัยความมั่นคงชายแดน สนับสนุนกองทัพปกป้องอธิปไตยของไทย เพื่อสร้างความชัดเจนบนเวทีโลก และเดินหน้าเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการสู้รบ
- ภัยสังคม ยกระดับปัญหาสแกมเมอร์และปัญหายาเสพติดเป็นภัยความมั่นคง
- ภัยธรรมชาติและการเยียวยา เดินหน้าเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม, นโยบายโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน และการควบคุมก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ประเทศไปสู่เป้าหมาย Net Zero
ทั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่มีการนำเสนอนโยบาย เนื่องจากนโยบายกัญชาทางการแพทย์ได้ประสบความสำเร็จไปแล้ว พร้อมจับตานโยบายยกเลิก MOU43-44 เพิ่มเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจะประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการวันที่ 25 ธ.ค 68 นี้
พรรคเพื่อไทย “เพื่อไทยทำได้”
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย มุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องรายได้ ความเหลื่อมล้ำ และหนี้สินของประชาชน ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และความเป็นไปได้เป็นหลักในการส่งนโยบายจริงสู่การปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังคงตอกย้ำจุดเด่นเดิม คือทำนโยบายที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่แค่หาเสียง ด้วยประโยคที่ว่า “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้”
เน้นนโยบายแก้ปัญหาค่าครองชีพ
นโยบายของพรรคเพื่อไทยยังคงมุ่งเน้นไปที่ การแก้ปัญหาค่าครองชีพ และ ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ผ่าน 2 นโยบายเร่งด่วน คือ
- หวยเกษียณ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้สานต่อ โดยจะทําให้ได้ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล เพื่อไปเสริมกับสวัสดิการอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนโชคเป็นหลักประกันให้กลายเป็นความมั่นคงในระยะยาว
- ล้างหนี้ให้คนไทย เพื่อไม่ให้ประชาชนเผชิญหนี้สินตามลําพัง โดยจะสานต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับกลุ่มต่อไปนี้ กลุ่มหนี้นอกระบบ, กลุ่มหนี้ NPL, กลุ่มหนี้เกษตรกร, กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มลูกหนี้ดี เพื่อให้มีพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ให้ประชาชนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
กรอบนโยบายเศรษฐกิจ 10 ข้อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
- ฟื้นฟูความมั่นคงทางการคลัง มุ่งเพิ่มเสถียรภาพด้านงบประมาณและอันดับเครดิตประเทศ
- สนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงทั้งเงินสดและคูปอง
- รีเซ็ตหนี้ทั้งระบบและพัฒนาทุนมนุษย์
- ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ ผ่านการปฏิรูปกฎระเบียบภาษีและกฎหมาย
- ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบมีมูลค่าเพิ่ม (AI, เทคโนโลยี) และยกระดับเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้าระบบพร้อมสร้างโอกาสแก่ธุรกิจขนาดเล็ก
ขณะที่นโยบายสังคมและบริการพื้นฐาน โดยจะ ฟื้นนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย หากจัดตั้งรัฐบาลภายใน 3 เดือน ประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทันที” รวมถึงการยกเครื่องฟีดเดอร์ (Feeder) ระบบคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชน อาทิ รถเมล์แอร์ 10 บาท
- นโยบาย ‘บ้านเพื่อคนไทย’ ให้คนไทยมีบ้านใกล้ระบบคมนาคมและสามารถจ่ายไหว
- โครงการแจกเงิน/รัฐสวัสดิการรายครัวเรือน (เช่นโครงการ digital wallet/10,000 บาท)
- ขยายต่อยอดโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค
พรรคประชาธิปัตย์ : ไทยหายจน
พรรคประชาธิปัตย์ ใช้แคมเปญหาเสียงหลักว่า “ไทยหายจน” และแนวคิดว่า “ประเทศไทยไม่ทน”
เน้นแก้ปัญหาความยากจน ปากท้อง และคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมย้ำความสำคัญของ การเมืองสุจริต และ ความเป็นมืออาชีพในการบริหารประเทศ
แนวคิดและแก่นหลักของนโยบาย คือ เศรษฐกิจและปากท้อง แก้ปัญหาความยากจนและสร้างสภาพเศรษฐกิจที่ช่วยยกระดับรายได้ประชาชน (เน้น “ไทยหายจน”)รับฟังปัญหาปากท้องของประชาชน เช่น ประกัน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ราคาสินค้าต่างประเทศตัดราคา หนี้นอกระบบ ฯลฯ
พรรคประชาธิปัตย์ย้ำว่าจะทำการเมืองบนหลัก ความซื่อสัตย์-สุจริต, ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
- เศรษฐกิจ – ปากท้องประชาชน เศรษฐกิจสุจริต ไม่โกง ไม่ประชานิยมเกินตัว เน้นวินัยการคลัง
- สนับสนุน SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงแหล่งทุน ดอกเบี้ยต่ำ
- เกษตรกรรมและรายได้ชนบท ประกันรายได้เกษตรกร (ข้าว ยางพารา ปาล์ม มันสำปะหลัง ฯล
- พัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้าแบบไม่กระทบวินัยการคลั
- พัฒนาระบบ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน
พรรคกล้าธรรม : เน้น “ทำจริง มากกว่าพูด”
พรรคกล้าธรรม แม้จะเป็นพรรคขนาดกลาง แต่เป็นพรรคที่ต้องจับตาในการเลือกตั้ง 69 เพราะอาจจะมีบทบาทสำคัญในการตั้งรัฐบาล
นโยบาย/จุดยืนสำคัญของพรรคกล้าธรรม เน้น “ทำจริง มากกว่าพูด” โดยพรรคประกาศยึดมั่น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการปกครองประเทศ พรรคกล้าธรรมยังไม่มีการประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการ แต่ มีแนวทางแก้ปัญหาฐานรากดังนี้
- มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของคนจน, เกษตรกร, แล ผู้ประกอบการรายย่อย
- สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan): ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้มีเงินทุนหมุนเวียน
- การเกษตรและนวัตกรรม สนับสนุนนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้เกษตรกร และปรับโครงสร้างหนี้
รวมไทยสร้างชาติ : เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ
ขณะที่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศนโยบายยาแรง ด้วยสโลแกน “เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ” โดยนโยบายที่สำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกอบด้วย
- ยกเลิก MOU 43 – MOU 44
- ยึดหลักสากลคือการใช้ระบบ “สันปันน้ำ” แผนที่ 1 ต่อ 50,000
- “สร้างรั้วไทย – กัมพูชา” : ขีดเส้นแบ่งเขตแดนให้ชัดเจน
- ออกรบ 200,000 บาท” : จ่ายทันทีต่อรอบภารกิจ
- เกณฑ์ทหารสมัครใจรับ 3 หมื่นบาท
- ขยับรายได้ทหารเกณฑ์ขั้นต่ำ 1.5 หมื่น
ด้านเศรษฐกิจ
- ทุบราคาน้ำมันต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร
- ค่าไฟเหลือ 3.3 บาท/หน่วย
- เสรีโซลาร์ ประชาชนผลิตไฟใช้เอง ไม่ต้องขอใบอนุญาต
- ลบประวัติเครดิตบูโร จ่ายจบ กู้ใหม่ได้ทันที : เมื่อชำระหนี้ที่ธนาคารเสร็จ
- ข้าว 15,000 บาท/ตัน ปาล์ม 6 บาท/กก.
- ปุ๋ยรัฐ 500 บาท/กระสอบ
การศึกษา
- อยากเรียนอะไรต้องได้เรียน-ใช้หนี้ด้วยงาน
ทั้งนี้พ.ร.บ. พรรคการเมืองมาตรา 57 กำหนดไว้ และในทางปฏิบัติ พรรคการเมืองต้องส่งรายละเอียดงบประมาณที่ใช้ในแต่ละนโยบายให้ กกต. ตรวจสอบก่อน
อย่างไรก็ตามทั้ง 5 พรรคการเมืองยังไม่มีการประกาศนโยบายพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ ซึ่งรายละเอียดของนโยบบายจะชัดเจนหลังจากทุกพรรคการเมืองต้องยื่นนโยบายต่อ กกต. ไม่น้อยกว่า 20 วันก่อนวันเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป เพื่อให้ กกต. ตรวจสอบความครบถ้วนและเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบก่อนการตัดสินใจเลือกตั้ง
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
Fact-Check Thailand 2026 รับมือข่าวลวงก่อนเลือกตั้ง-ประชามติ




