ท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารที่ถาโถม มีข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนปะปนและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้งที่จะมาถึงต้นปี 2569 ที่มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะเนนเสียงเลือกตั้ง และกลายเป็นอีกอาวุธหนึ่งของการสกัดคู่แข่งทางการเมือง
เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ในการรับมือกับข่าวลวงที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย จึงเกิดโครงการ อบรมเชิงปฏิบัติการ “Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่าวลวงรายงานข่าวเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างสถานทูตเยอรมนี, Thai PBS, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, และ COFACT (Collaborative Fact Checking) ภาคประชาสังคมที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาข่าวลวง
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 โครงการนี้ได้จัดเวทีเสวนา “Policy Face-Off: นโยบายชนความจริง” ที่อาคารรัฐสภา โดยเชิญนักวิชาการ ตัวแทนพรรคการเมืองและรัฐบาล ร่วมเสวนา เพื่อวิเคราะห์ถึงนโยบายที่ทำได้จริงและทำไม่ได้ พร้อมทั้งส่งสัญญาณเตือนไปยังทุกพรรคการเมืองว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในปี 2569 มาตรฐานการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนได้ถูกยกสูงขึ้นแล้ว และพร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงของนโยบายที่หาเสียง
การเปลี่ยนผ่านจาก “ยุคเซ็นเซอร์” สู่ “ยุคตรวจสอบ”
ฉัตร สุภัทรวณิชย์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้กล่าวปาฐกถาเปิดงานด้วยมุมมองแหลมคมต่อสถานการณ์สื่อว่า เราได้ก้าวผ่านยุคที่รัฐใช้อำนาจปิดกั้นสื่อมาแล้ว แต่กำลังเผชิญความท้าทายใหม่คือ “ภาวะข้อมูลล้นเกิน” (Information Overload) บนแพลตฟอร์มดิจิทัล
“เราคงไม่ถอยหลังกลับไปสู่ยุคเซ็นเซอร์ หรือยุคที่มี กบว. แต่โจทย์ใหญ่คือเราจะรับมืออย่างไรกับปัจจุบัน ที่มีสื่ออิสระและแพลตฟอร์มต่าง ๆ มากมาย สามารถรายงานข้อมูลออกไป และเราจะสร้าง ‘ภูมิคุ้มกัน’ ให้สังคมอย่างไร?
การมีโครงการ Fact-Check จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยปั้นบุคลากรที่มีคุณภาพ ช่วยตรวจสอบข่าวสารต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งกรรมาธิการฯ พร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้เสรีภาพสื่อเดินคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม”
วิไลวรรณ จงวิไลเกษม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงโครงการนี้ว่า Fact-Check Thailand 2026 เป็นโครงการที่ไม่ได้ริเริ่มจากฝ่ายการเมือง แต่เกิดจากสถานทูตเยอรมนี ที่เล็งเห็นว่า “หัวใจ” ของการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม คือ “ข้อมูล” และสิ่งที่จะทำให้การเลือกตั้งโปร่งใสที่สุด
“การที่ประชาชนเดินเข้าคูหาด้วยข้อมูลครบถ้วน ไม่ใช่แค่รู้ว่าจะเลือกใคร แต่ต้องรู้ว่านโยบายนั้นทำได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำโฆษณา และทางเลือกหนึ่งก็คือการรายงานข่าว ที่ประชาชนก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งควรจะได้ข้อมูลที่มากที่สุด”
เมื่อนโยบายพบข้อเท็จจริง
ทุกครั้งที่เข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง แต่ละพรรคการเมืองต่างหาเสียงด้วยนโยบายที่หลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นประชานิยม ที่สัญญาว่าจะ “แจก” “ลด” “แลก” “แถม” นโยบายที่แก้ไขวิกฤตประเทศในระยะสั้นกลายเป็นอาวุธหลักในการช่วงชิงคะแนนเสียง แต่สิ่งที่หลงเหลือหลังคูหาปิดลง มักเป็นเพียงความว่างเปล่าและภาระงบประมาณที่ประชาชนต้องแบกรับ เพราะนโยบายประชานิยมไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสังคมประเทศได้ในระดับโครงสร้างหรือถอนรากถอนโคน
ด้วยเหตุนี้ Fact-Check Thailand 2026 จึงได้เวทีเสวนา “Policy Face-Off: นโยบายชนความจริง” ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากภาครัฐ พรรคการเมือง ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนำเสนอประเด็นเรื่องความเป็นไปได้ของนโยบายที่สัมพันธืกับงบประมาณ นโยบายทางการเมืองต้องสร้างสมดุลระหว่าง “เจตจำนงทางการเมือง” (สิ่งที่อยากทำ) กับ “ข้อจำกัดด้านงบประมาณ” (สิ่งที่มีจริง) โดยชี้ให้เห็นว่าการตรวจสอบนโยบาย (FactCheck) จะช่วยให้พรรคการเมืองต้องระมัดระวังในการให้สัญญาที่เกินจริง และต้องจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ในฐานะฝ่ายบริหาร มีความตั้งใจอยากทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนทุกเรื่อง แต่ความจริงที่เราต้องเผชิญคือ ‘งบประมาณมีจำกัด’ สิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่เป็นไปได้จริงจึงต้องมาหาจุดสมดุล การมีกระบวนการ Fact-Check จะเป็นกระจกสะท้อนให้สังคมเห็นว่า นโยบายไหนที่ ‘ทำได้จริง’ ภายใต้ทรัพยากรที่เรามีและนโยบายไหนที่เป็นเพียงความฝัน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจข้อจำกัดของการบริหารประเทศด้วย”
สำหรับพรรคประชาชน ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ตัวแทนพรรค เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญของการตรวจสอบนโยบายคือ การตรวจสอบความคุ้มค่าของนโยบายภาครัฐและในมิติของ “มนุษย์” และ “ความเหลื่อมล้ำ” โดยชี้ว่านโยบายที่ดูดีในระดับมหภาค อาจจะตกหล่นเมื่อไปถึงคนตัวเล็กตัวน้อย ดังนั้นการตรวจสอบนโยบายต้องมองลึกลงไปถึงการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของกลุ่มเปราะบาง ว่าได้รับประโยชน์จริงหรือไม่
“ตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือโครงการก่อสร้างใหญ่โต อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการพัฒนา สิ่งที่ฝ่ายค้านให้ความสำคัญคือ ‘คนตัวเล็กตัวน้อย’ ได้รับอะไรจากนโยบายนั้นจริงไหม? เราต้องตรวจสอบไปให้ถึงว่า สวัสดิการที่รัฐสัญญาไว้มันไปถึงมือประชาชนทุกกลุ่มจริงหรือไม่ ถึงมือแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว หรือแรงงานที่หาเช้ากินค่ำจริงหรือเปล่า การ Fact-Check ที่ดีต้องไม่ดูแค่กระดาษ แต่ต้องดูให้เห็น ‘ชีวิตคน’ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนั้นจริง ๆ”
สำหรับ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย พรรคประชาธิปัตย์ ได้สะท้อนบทเรียนจากอดีตที่นโยบายมักทำไม่สำเร็จว่า ที่ผ่านมาเน้นประชานิยม ซึ่งมีข้อจำกัดของงบประมาณ รวมทั้งมีนโยบายหาเสียงเพื่อความสะใจเช่น หากมีกรณีหาเสียงว่าจะยกเลิก MOU 44 ต้องมีคำตอบว่าถ้ายกเลิกแล้วมีแผนรองรับ (Plan B) อย่างไร พร้อมทั้งแนะนำสื่อมวลชนในกรณีนี้ว่าต้องถามหาแผนรองรับให้ได้ ว่าถ้ายกเลิกแล้วจะทำอย่างไรต่อ
สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ภาคการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิเคราะห์นโยบายสำคัญที่ถูกใช้หาเสียงในการเลือกตั้งว่า ปัญหาอยู่ที่โครงสร้างและกติกาที่กำหนด “พฤติกรรม” การหาเสียงของพรรคการเมือง โดยชี้ว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน เป็นกรอบที่บีบให้พรรคการเมืองต้องเน้นนโยบายระยะสั้นหรือประชานิยมเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ คือต้องทำให้กติกาเอื้อต่อการทำนโยบายระยะยาวที่ยั่งยืน
“เรามักจะโทษว่าพรรคการเมืองขายฝัน แต่เราลืมมองไปที่ ‘กติกา’ ที่เราใช้อยู่ รัฐธรรมนูญและระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันเปรียบเสมือนแม่พิมพ์ที่กำหนดหน้าตาของนโยบาย หากกติกาเอื้อให้เกิดการแข่งขันที่ฉาบฉวย พรรคการเมืองก็จำเป็นต้องผลิตนโยบายระยะสั้นมาสู้กัน ดังนั้นถ้าอยากเห็นนโยบายที่มีคุณภาพ เราต้องตรวจสอบและแก้ไขที่ตัวกติกาและรัฐธรรมนูญไปพร้อมกันด้วย เพื่อปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถนำเสนอนโยบายเพื่ออนาคตได้จริง ๆ”
นโยบายที่ดีมีหน้าตาอย่างไร ?
โครงการ “Fact-Check Thailand 2026” ไม่ใช่การจับผิดคำพูด แต่คือการตรวจสอบกระบวนการคิดและการบริหารงานของรัฐบาลในอนาคต และเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ไปยังนักการเมืองทุกพรรคว่า ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า “พื้นที่สำหรับคำโกหก” จะลดน้อยลงจนแทบไม่มีที่ยืน
เพราะเมื่อ “ความจริง” กลายเป็นมาตรฐานใหม่ พรรคการเมืองที่ยังหวังพึ่งพาเพียง “การตลาดขายฝัน” อาจพบว่าตนเองกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในวันที่ประชาชนไทยตื่นรู้และพร้อมจะตรวจสอบทุกคำสัญญาด้วยมือของพวกเขาเอง
Fact-Check Thailand 2026 ได้ยกตัวอย่าง กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และ MOU 44 ที่ถูกใช้ปลุกกระแสชาตินิยมนั้น โดยตั้งประเด็นในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า หากมีพรรคใดหาเสียงว่าจะยกเลิก MOU 44
สื่อมวลชนและประชาชนต้องไม่หยุดแค่การพาดหัวข่าว แต่ต้องจี้ถามให้สุดทางว่า ถ้ายกเลิกแล้วจะทำอย่างไรต่อ จะประกาศสงครามหรือตั้งต้นเจรจานับหนึ่งใหม่ หรือมีกลไกอะไรมารองรับแทน หากพรรคการเมืองนั้นตอบคำถามไม่ได้ จะถือว่าเป็นนโยบายที่อันตรายที่สุด
และได้เสนอว่า แต่ละนโยบายที่หาเสียงต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน ดังนี้
- ต้องมี “Price Tag” (ป้ายราคา) เพราะหมดเวลาแล้วสำหรับนโยบายที่บอกแค่ “จะให้” แต่ไม่บอกว่า “จะหาเงินจากไหน” ซึ่งโครงการ FactCheck Thailand 2026 จะทำหน้าที่เปิดเผย “ต้นทุน” ของทุกนโยบายให้ประชาชนเห็น
- เลิกวัดกันที่ “วาทกรรม” แต่วัดกันที่ “How-to” เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมการหาเสียงจากการสาดโคลนหรือใช้อารมณ์มาเป็นการแข่งขันกันด้วย “รายละเอียดวิธีการปฏิบัติ” (Implementation Plan)
- ประชาชนคือผู้ตรวจสอบขั้นสุดท้าย แม้จะมีองค์กร Fact-Check แต่ “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ที่ดีที่สุดในการป้องกันนโยบายลวงโลก คือวิจารณญาณของประชาชนที่ตั้งคำถามเป็น




