“ปฏิรูปการศึกษา” เป็นเรื่องที่สังคมไทยพูดกันมาเป็น “ชาติ” แต่ก็ไม่ขยับไม่ถึงไหน แม้ว่าผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายประเทศต่างเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในทางปฏิบัติจริงกลับไม่เห็นความคืบหน้ามากนัก อีกทั้ง “การเมือง” ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก นอกจาก “ตำแหน่งรัฐมนตรี” ซึ่งการมองไปที่การปฏิรูปการศึกษาว่าได้รับความสนใจหรือไม่ ต้องดูไปที่ตัวบทกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา ร่างกฏหมายที่พยายามปฏิรูปการศึกษาไม่ได้รับการผลักดันจากรัฐบาล แม้จะเปลี่ยนหลายรัฐบาลและหลายรัฐมนตรี ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ ภาควิชาครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยณ์ ชี้ให้เห็นถึง ‘ความไม่ชัดเจน’ ในทิศทางของการขับเคลื่อนการศึกษาว่าสามารถสะท้อนได้จากการที่มี พรบ. การศึกษา ที่ถูกร่างไว้ถึง 5 ร่าง จัดทำโดยพรรคการเมืองกลุ่มต่างๆ สื่อได้ว่า นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจยังตกลงกันไม่ได้
“ทุกฝ่ายพูดเรื่องการศึกษา แต่พูดกันในคนละ shade” อรรถพลกล่าว เช่น จะเรียนฟรีระดับไหน จะทำอย่างไรกับโรงเรียนเล็ก นอกจากนี้การที่สถานภาพทางการเมืองของประเทศไทยไม่มีความแข็งแรง ไร้ความมั่นคง ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนากลไกลการศึกษาในระยะยาว การเปลี่ยนรัฐบาลถี่ส่งผลให้การผลักดันกฎหมายล่าช้าและขาดความต่อเนื่อง
ทำไมต้องแก้ พรบ. การศึกษา?
เหตุผลที่ต้องแก้พระราชบัญญัติการศึกษา ก็เพราะว่าตัวพ.ร.บ.จะเป็นกฎหมายที่ช่วยขับเคลื่อนทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง ทางราชการเองไม่กล้าตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นต้องอาศัยพระราชบัญัติ เป็นตัวขับเคลื่อน
ถึงแม้ พ.ร.บ. การศึกษาฉบับปัจจุบันจะไร้ความเปลี่ยนแปลงมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ในภาคปฏิบัติยังมีคนทำงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองหลักสูตร หรือทำงานศึกษาวิจัยต่างๆเพื่อพัฒนาและสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่อรรถพลย้ำว่า ในการที่จะขยายการทดลองหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างต้องอาศัยตัวกฎหมายทางการศึกษาเป็นตัวรองรับ
นอกจากนี้ อรรถพลยังแจ้งว่าสภาองค์กรผู้บริโภคกำลังทำงานศึกษากฎหมายและระบบการศึกษาของต่างประเทศอยู่ 6 ประเทศเพื่อหาข้อมูลเป็นทางเลือกให้ประเทศไทย และเพื่อดูว่าต่างประเทศเขาทำเรื่องกระจายอำนาจอย่างไร บริหารโรงเรียนอย่างไร
“พ.ร.บ. จะช่วยกำกับให้สิ่งที่เราคุยกันถูกต้องตามกฎหมาย และบางเรื่องต้องอาศัยพลัง แรงส่งของพ.ร.บ. เช่น ทำอย่างไรให้กระทรวงเล็กลง ทำอย่างไรให้มีการแยกสถาบันหลักสูตรออกมา”
ควรแยกหลักสูตรออกมาไหม?
ในการทำพ.ร.บ. ฉบับใหม่ มีการพูดคุยกันในหลายมิติของการกระจายอำนาจ อรรถพลอธิบายว่าหนึ่งเรื่องที่ต้องพูดคุยกันคือ หลักสูตร ว่าควรแยกหลักสูตรออกมาให้เป็นหน่วยงานอิสระหรือไม่
ซึ่งจะเป็นการสร้างหน่วยงานอิสระที่แยกออกมาจากกระทรวงเพื่อดูแลเรื่องหลักสูตรโดยเฉพาะ เพราะว่าหลักสูตรการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องมีการปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้เนื้อหาทันและเข้ากับบริบทโลก
ตอนนี้หลักสูตรการศึกษากำลังรอ พรบ. ฉบับใหม่ออกมาเพื่อเป็นตัวกำหนดทิศทาง ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจึงมีความล่าช้าและล้าหลังอย่างมาก และเป็นผลเสียต่อเด็กและการพัฒนาประเทศในระยะยาว การมีหน่วยงานอิสระจะช่วยให้การทำงานด้านหลักสูตรมีความคล่องตัวมากขึ้น
หลักสูตรใหม่ปี 68 มาจากไหน?
ในขณะที่ประชาชนมีความไม่พอใจกับหลักสูตรแกนกลางปี 51 มานาน เนื่องจากเนื้อหาที่สอนไม่ทันโลก อยู่ๆ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกประกาศว่าจะมีการทดลองใช้หลักสูตรสมรรถนะปี 68 โดยมีโรงเรียนที่เข้าร่วมทั้งหมด 4,000 โรง ทำให้ในปัจจุบันประเทศไทยมี 3 หลักสูตรที่นักเรียนกำลังเรียนกันอยู่ 1) หลักสูตรแกนกลางปี 51 (ปรับปรุงปี 60) ที่ใช้กันอยู่ทั่วประเทศ 2) หลักสูตรสมรรถนะใน พรบ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 3) หลักสูตรสมรรถนะปี 68
ใครเรียนหลักสูตรนี้? หลักสูตรสมรรถนะปี 68 นำไปทดลองใช้การเรียนการสอนในช่วงชั้นเรียนอนุบาล 1-3 และช่วงประถมต้น ป.1-ป.3 ในช่วงอนุบาลจะเน้นเรื่องการฝึกทักษะ ซึ่งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากจากเดิม ในส่วนชั้นประถมศึกษาตอนต้น มีเป้าหมายที่จะลดชั่วโมงการเรียน เน้นการบูรณาการแทนการเรียนแยกรายวิชาเป็นกลุ่มสาระ ซึ่งอาจจะเป็นการสอนผ่านบริบทชีวิตเพื่อให้ได้รับความรู้รอบด้าน
สิ่งที่แตกต่าง จากหลักสูตรแกนกลางปี 51 คือหลักสูตรสมรรถนะปี 68 จะเน้นเป้าหมายไปที่ “สิ่งที่ต้องทำได้” แทนการเน้นการจำเนื้อหา และหลักสูตรใหม่มีการสร้างสมรรถนะ รวมไปถึงการนำเจตคตินำใช้ในการตัดสินใจ นอกจากนี้สิ่งที่ต่างไปจากหลักสูตรสมรรถนะ พื้นที่นวัตกรรมคือการใช้คำที่ต่างกัน หลักสูตรสมรรถนะปี 68 ใช้คำ Literacy-based ในขณะที่หลักสูตรสมรรถนะพื้นที่นวัตกรรมใช้คำว่า Competency-based
หลักสูตรสมรรถนะปี 68 ยังขาดภาพที่ชัดเจนในหลายเรื่อง ถึงตอนนี้ยังไม่มีการสรุปว่าจะนำหลักสูตรใหม่นี้ไปนำสอนในปีการศึกษาหน้าหรือไม่ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่เพราะการไร้ขอสรุปและการดำเนินการที่ล่าช้าส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและเตรียมการสอนไม่ทัน
ไม่แปลกใจที่หลายฝ่ายตั้งคำถาม ด้วยความสงสัยว่าหลักสูตรสมรรถนะปี 68 นี้มาจากไหน มีความเชื่อมโยงหรือได้นำ lesson-learned จากหลักสูตรสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมมาปรับใช้อะไรหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ ศธ. ควรออกมาสื่อสารให้ประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรับรู้ว่าทิศทางการศึกษาบ้านเรากำลังจะเดินไปทางไหน
ภาพสะท้อนของความล้มเหลว
หลังจากมีการเรียนการสอนมาหนึ่งเทอมการศึกษา อรรถพลได้คุยกับหลายฝ่ายและพบว่ามีความไม่พร้อมในหลายด้าน
ต้นทุนทางทรัพยากรที่ต่างกัน บางโรงเรียนมีประสบการณ์ มีครูหรือผู้อำนวยการที่เป็นสายวิชาการ ส่งผลให้มีความพร้อม ความรู้และคล่องตัวในการปรับตัวมากกว่า การสอนหลักสูตรแกนกลางมาหลายปี แต่อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนวิธีและหลักสูตรการสอนกระทันหันจึงเป็นเรื่องยาก การเตรียมตัวไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือวิธีการสอนแบบใหม่ต้องใช้เวลา แต่ครูกลับได้รับแจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ ‘ตัวช่วย’ ในการเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนไม่เพียงพอ อรรถพลเล่าว่า Guideline ที่มีให้ครูนำไปใช้นั้นถือว่ามีน้อยมาก และไม่ใช่ทุกโรงเรียนที่จะมีเจ้าหน้าที่จากศึกษานิเทศก์ลงช่วย กระทรวงศึกษาธิการตั้งใจที่จะให้อิสระกับโรงเรียน แต่การที่ไม่มีประสบการณ์หรือทรัพยากรทำให้ปรับตัวยาก
อีกหนึ่งสิ่งของตัวชี้วัดของความไม่พร้อมคือ หนังสือเรียนแบบเดิม อรรถพลอธิบายว่าหนังสือเรียนที่ใช้ในปีการศึกษานี้ยังใช้หนังสือแบบเดิม ทั้งๆ ที่มีการเปลี่ยนหลักสูตรไปแล้ว เหตุผลก็เพราะว่าการประกาศจากกระทรวงออกมากระชั้นชิด ทำให้การสั่งซื้อที่เกิดขึ้นไปแล้วต้องดำเนินต่อ สิ่งนี้เป็นภาพสะท้อนของความล้มเหลวในความพยายามการสร้างความเปลี่ยนแปลง และการสื่อสารของระบบการบริหารวงกว้าง
ที่น่าตกใจที่สุดคือ ผู้ปกครองบางคนไม่ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หรือ อาจารย์ภาควิชาครุศาสตร์เองที่อยู่ในแวดวงการศึกษาก็ไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้า ทุกคนทราบเรื่องพร้อมกัน จึงสร้างความประหลาดใจอย่างมาก
ประชาชน–สังคม สำคัญ ต้องช่วยการศึกษา
สิ่งหนึ่งที่อรรถพลเน้นย้ำในการสัมภาษณ์คือ สังคมต้องไม่นิ่ง สังคมต้องพูดคุยเรื่องการศึกษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ภาครัฐเร่งทำการเปลี่ยนแปลง
หลายๆ อย่างสามารถทำล่วงหน้าไปได้เลย ไม่ต้องอาศัยการรอพรบ. ฉบับใหม่อย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้วหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาจำเป็นต้องคุยให้เกิดการตกพะหลึกก่อนและพรบ. สามารถออกตามมาทีหลังได้ สังคมคุยกันเพื่อให้มีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะใช้หลักสูตรอะไร จะใช้วิธีไหน ให้เกิดฉันทานุมัติทางสังคมขึ้นมา
ยิ่งเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล ยิ่งต้องถกเถียง ไม่ให้ Momentum หาย แรงจากสังคมจะช่วยผลักดันภาครัฐ ให้ขับเคลื่อนต่อ สภาองค์กรผู้บริโภคเองก็ทำหน้าที่ด้วยการเปิดพื้นที่ให้คนมาคุยกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง ครู นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อให้แต่ละฝ่ายเห็นเป็นประเด็นในมุมที่กว้างขึ้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- จากนโยบายสู่การปฏิบัติ อุปสรรคใหญ่ปฏิรูปการศึกษา
- รู้จักหลักสูตรสมรรถนะ บทเรียนจาก”โรงเรียนแม่คือวิทยาเชียงใหม่” ไม่ต้องรอปฏิรูปก็ปรับเปลี่ยนได้
- เพศวิถีศึกษา: จะเริ่มจากจุดไหนดี? ถึงจะเป็นไปได้