เมื่อ 8 ม.ค. 68 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เห็นชอบ “ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569” ตามมติคณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์เสนอวงเงินงบประมาณ 272,583.32 ล้านบาท แบ่งเป็นงบเหมาจ่ายรายหัว 204,174.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 4,298.24 บาทต่อประชากร เพื่อดูแลประชากร 47.50 ล้านคน และงบค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว 68,408.32 ล้านบาท เมื่อหักเงินเดือนภาครัฐในระบบปกติ 71,446.45 ล้านบาท จะเหลือเป็นงบประมาณที่ให้ สปสช. บริหารทั้งสิ้น 201,136.87 ล้านบาท
งบประมาณในปี 69 เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณปี 68 เพิ่มขึ้น 36,196.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.51% โดยงบเหมาจ่ายรายหัวจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 442.16 บาท
ส่วนงบค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว 68,408.32 ล้านบาท ได้ขอเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมา 13,862.97 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.42% เพื่อใช้สำหรับรายการ ดังต่อไปนี้
- ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 4,574.06 ล้านบาท
- ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 16,074.98 ล้านบาท
- ค่าบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง 1,584.95 ล้านบาท
- ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 1,490.29 ล้านบาท
- ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิและหน่วยนวัตกรรม 4,188.96 ล้านบาท
ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพฯ จำนวน 4,110.35 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนจำนวน 6,267.29 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จำนวน 541.07 ล้านบาท เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการจำนวน 562.23 ล้านบาท ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคทั่วไปจำนวน 27,761.92 ล้านบาท และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDS) จำนวน 1,252.27 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษที่ให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์จัดหาให้ปีงบประมาณ 2569 อาทิ ยาจำเป็น (ยา จ.2 ยา CL ยากำพร้า ยาต้านพิษ) อุปกรณ์และอวัยวะเทียม รากฟันเทียม ชุดประสาทหูเทียม ยาเอชไอวี น้ำยาล้างไตผ่านช่องท้อง วัคซีน และถุงยางอนามัย เป็นต้น รวมเป็นงบประมาณ 13,617.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.2% จากปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การจัดทำงบประมาณกองทุนบัตรทองปีงบประมาณ 2569 เป็นการดำเนินการภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่เป็นร่มใหญ่ ร่วมกับยุทธศาสตร์ แผนพัฒนา แผนปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล/รมว.สาธารณสุข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แผนปฏิบัติราชการ สปสช. ฉบับที่ 5 (ทบทวนปี 2568) และผลจากการรับฟังความคิดเห็น เป็นต้น และคำนึงถึงต้นทุนบริการที่เหมาะสม อัตราเงินเฟ้อ ประชากรที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณบริการที่เพิ่มขึ้น การสนับสนุนนโยบายรัฐบาล สิทธิประโยชน์ใหม่ เทคโนโลยีทันสมัยและสิ่งแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพบริการให้กับประชาชน
ส่วนของการสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพของรัฐบาลภายใต้งบประมาณกองทุนฯ ปี 2569 มีจำนวน 26 รายการ เป็นวงเงิน 21,058.58 ล้านบาท เช่น
- บริการระบบการแพทย์ทางไกลที่เพิ่มเติมการดูแลคนไทยในต่างแดน
- ห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ในโรงเรียน และตู้ห่วงใย
- บริการหน่วยนวัตกรรม 7 ประเภท
- บริการสร้างเสริมป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD)
- บริการลดการนอนในโรงพยาบาลในผู้ป่วยโรคหอบหืด
- ศูนย์ให้คำปรึกษาจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน
- สายด่วนสุขภาพจิต
- สายด่วนเลิกบุหรี่
- พอกเข่าโดยสมุนไพร
- การดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวในชุมชนให้มี Caregiver
- การตรวจคัดกรองโรคด้วยตนเอง ทั้งโรคพยาธิใบไม้ตับ เอชไอวี และเอชพีวี
- วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กหญิงชนิด 9 สายพันธุ์ ตลอดจนบริการสุขภาพกลุ่มคนข้ามเพศ
ในปี 2569 จะมีสิทธิประโยชน์ใหม่ 10 รายการ รวมวงเงิน 1,276.54 ล้านบาท ดังนี้
- สายด่วนเลิกเหล้า
- สายด่วนท้องไม่พร้อม/สายด่วนวัยรุ่น
- ธนาคารนมแม่
- วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็ก (PCV)
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี
- การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน
- การตรวจคัดกรอง Autistic disorder ด้วยเครื่องมือ TDAS
- ชุดตรวจ Microalburnin ในปัสสาวะเพื่อตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกช้อนจากเบาหวาน
- การดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่เบาหวานระยะสงบ
- บริการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในชุมชน
บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ ครอบคุลุมทุกจังหวัด
เมื่อ 2 ธ.ค. 67 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เห็นชอบ “การขับเคลื่อนนโยบายยกระดับบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ระยะที่ 4 ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ”
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลดำเนินนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ เริ่มนำร่องใน 4 จังหวัด ตั้งแต่ 7 ม.ค. 67 และขยายพื้นที่เป็นระยะตามนโยบายและการประกาศพื้นที่ของกระทรวงสาธารณสุข โดยในระยะที่ 1-3 ดำเนินการไปแล้ว 46 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) ดังนั้น เมื่อเพิ่มอีก 31 จังหวัด จะทำให้ขยายครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งสปสช.จะออกประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 5 ฉบับ เพื่อให้มีบริการมาตรฐานเดียวกัน
สำหรับแนวทางการดำเนินการ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย มีดังนี้
- ประชาชนไปรับบริการได้ทุกที่ตามความจำเป็น โดยใช้บัตรประซาชนและไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว หรือใช้ใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์
- สนับสนุนให้หน่วยบริการแต่ละระดับจัดบริการตามศักยภาพ โดยเฉพาะบริการระดับปฐมภูมิ และบริการระดับตติยภูมิ/ขั้นสูงเพื่อกระจายการรับบริการ ลดความแออัดในหน่วยบริการขนาดใหญ่
- เพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรมรปแบบต่างๆ (บริการปฐมภูมิ) ครอบคลุมทั่วถึง ทุกพื้นที่ รวมทั้งหน่วยบริการทติยภูมิ รองรับการส่งต่อ
- ขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ ผ่านระบบ One stop service ลดขั้นตอน สะดวก
- เชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพของหน่วยบริการทุกแห่ง กับระบบเบิกจ่ายขดเชยค่าบริการของ สปสช.ผ่าน API ลดภาระงานหน่วยบริการในการบันทึกและส่งข้อมูล
- พัฒนาและใช้ AI ตรวจสอบก่อนจ่ายและหลังจ่าย เบิกจ่ายถูกต้อง รวดเร็วขึ้น
- สนับสนุนการมีส่วนร่วมของหน่วยบริการในการตรวจสอบกับกันเอง
- พัฒนาระบบตรวจสอบและการกำกับติดตามประเนินผล เพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและมีข้อมูลหลักฐานในการปรับปรุงและพัฒนา
- ยกระดับบริการสายด่วน contact center 1330 อำนวยความสะดวกและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ประชาชนและหน่วยบริการ
- สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุก และการแสดงสัญลักษณ์ของหน่วยบริการที่ให้บริการตามนโยบาย
นอกจากนี้ ในปี 68 โรงพยาบาลในสังกัดจะพัฒนาระบบเชื่อมโยง/ส่งต่อข้อมูลในรูปแบบ Digital Online ทั้งหมด
มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้างที่ไม่ครอบคลุม
- การกระทำใดๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- การตรวจวินิจฉัยและการรักษาใดๆ ที่เกินความจำเป็นจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- การรักษาที่อยู่ระหว่างการค้นคว้าทดลอง
- การปลูกถ่ายอวัยวะที่ไม่ปรากฎตามบัญชีหมายเลข 3 แนบท้ายประกาศนี้
- การบริการทางการแพทย์อื่น ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด
รายการใหม่ปี 68 จากงบประมาณปี 2568
เพิ่มสิทธิประโยชน์จากรายการใหม่ต่อเนื่องจากปี 67 และต้องมีงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 12 รายการ ในปี 68 รวมเป็นงบประมาณ 2,145.23 ล้านบาท ดังนี้
- บริการที่สถานชีวาภิบาล
- การรักษาภาวะมีบุตรยาก
- การตรวจวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับ
- บริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์
- ยาในบัญชี จ.2
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์รายการใหม่ของปี 2567 และตามนโยบายรัฐบาล 11 รายการ อาทิ ตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีด้วยปัสสาวะ บริการสิทธิประโยชน์ผู้ต้องขับเพิ่มเติม วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV เป็นต้น
บริการสิทธิประโยชน์ใหม่ของปี 2568
คณะกรรมการ สปสช. เห็นชอบ 5 รายการ ทำให้ผู้มีสิทธิสามารถรับบริการได้ ดังนี้
- บริการมิตรภาพบำบัด
- บริการสายด่วนวัยรุ่น/สายด่วนท้องไม่พร้อม
- ศูนย์ให้คำปรึกษาจิตเวช
- บริการสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ
- บริการคัดกรองวัณโรคระยะแฝง latent TB
ในปีงบประมาณปี 68 ยังได้ปรับปรุงการบริหารจัดการ อาทิ บริการผู้ป่วยนอก โดยกันงบประมาณจากอัตราเหมาจ่ายรายหัวบริการเพื่อจ่ายสำหรับนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” บริการกรณีเฉพาะในส่วนบริการปฐมภูมิไปที่ไหนก็ได้ ปรับระบบการจ่ายจากเดิมจ่ายตามรายการบริการ (Fee schedule) เป็นการจ่ายที่เหมาะสม เช่น แบบ pervisit
การปรับการจ่ายบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ (UCEP) ภาครัฐ จากจ่ายตามรายการบริการเป็นจัดสรรแบบ Grant รายปี เพื่อพัฒนาระบบบริการวิกฤตฉุกเฉินให้มีคุณภาพและจ่ายตั้งแต่ต้นปี ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ สปสช. กำหนด
30 บาทรักษาทุกที่: ขั้นตอนการใช้สิทธิ
ขั้นตอนการใช้สิทธิ ยังคงเข้ารักษาได้ที่ หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ เช็คสิทธิได้ที่ https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml
ดังนั้น ไม่ว่าผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาทจะอยู่ที่ไหน ก็ใช้บริการได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ใช้แค่บัตรประชาชน ที่หน่วยบริการปฐมภูมิได้ทุกแห่ง ดังนี้
ต่างจังหวัด
• รพ.สต./สถานีอนามัย/ศูนย์สุขภาพชุมชน
• รพ.รัฐประจำอำเภอ/จังหวัด (สังกัดกระทรวงสาธารณสุข)
กรุงเทพฯ
• ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง
• คลินิกชุมชนอบอุ่น 276 แห่ง ทั่วประเทศ
ที่ร้านยา-คลินิกนวัตกรรม ได้แก่ คลินิกหมอ-หมอฟัน, คลินิกกายภาพบำบัด, คลินิกแพทย์แผนไทย, คลินิกเทคนิคการแพทย์ ตรวจแล็บ-เจาะเลือด, คลินิกพยาบาล, ร้านยาคุณภาพ ฯลฯ ที่เข้าร่วม 30 บาทรักษาทุกที่ ดูรายชื่อได้ที่ https://www.nhso.go.th/page/Innovative-services-all-provinces
30 บาทรักษาทุกที่ มีบริการเพิ่มเติมอะไรบ้าง :
- ร้านยาคุณภาพ: เจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ปรึกษาเภสัชกรและรับยาตามอาการ
- คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น: รับบริการการพยาบาลพื้นฐาน เช่น ทำแผล ล้างแผล และตรวจรักษาโรคเบื้องต้น 32 อาการ
- คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น: ตรวจแล็บ 22 รายการตามใบแพทย์สั่งตรวจ
- คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น: เจ็บ ไข้ ไอ ปวด รับบริการตรวจรักษาโรคทั่วไปแบบผู้ป่วยนอก
- คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น: กายภาพบำบัดผู้ป่วย 4 กลุ่ม (6 เดือนแรกหลังพ้นวิกฤต ได้รับการกายภาพบำบัด 20 ครั้ง) ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง สมองได้รับบาดเจ็บ ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ และกระดูกสะโพกหัก
- คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น: อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรด์ (3 ครั้ง/ปี)
- คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น: นวด ประคบ อบสมุนไพร เพื่อการรักษา และ ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย 4 กลุ่ม โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต โรคสันนิบาต และฟื้นฟูสุขภาพมารดาหลังคลอด
ตราสัญลักษณ์ (โลโก้) 30 บาทรักษาทุกที่ คืออะไร
• ใช้บัตรประชาชนเข้ารับบริการได้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
• เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพกับ สปสช.แล้ว รองรับทุกแอปพลิเคชันที่หน่วยบริการใช้
• มีระบบยืนยันตัวตนการรับบริการของผู้ป่วย
• มีระบบส่งต่อผู้ป่วยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Refer)
เจ็บป่วยฉุกเฉิน/อุบัติเหตุ แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤต เข้ารักษาได้ที่
– โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง
– โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมกับ สปสช.
เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตถึงแก่ชีวิต (เช่น หมดสติ, หายใจไม่ออก, เจ็บหน้าอกรุนแรง) เข้ารักษาได้ที่
– โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ใกล้ที่สุด (สิทธิ UCEP)
ทำฟันฟรี ปีละ 3 ครั้ง แค่บัตรประชาชนใบเดียว
ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง สามารถใช้บริการด้านทันตกรรมได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงนำบัตรประชาชนไปรับบริการที่คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น ในจังหวัดนำร่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ดังนี้
- ถอนฟัน อุดฟัน อุดคอฟัน
- ขูดหินปูน
- รักษารากฟันน้ำนม รากฟันแท้
- ใส่เพดานเทียมในเด็กปากแหว่งเพดานโหว่
- ผ่าฟันคุด (ตามข้อบ่งชี้ของทันตแพทย์)
- รักษาโรคปริทันต์อักเสบ
- การรักษาอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อผู้ป่วย
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิทันตกรรม สำหรับคนไทยทุกคนในทุกสิทธิการรักษา ได้แก่
- ตรวจสุขภาพช่องปากและทำความสะอาด สำหรับหญิงตั้งครรภ์
- การทา หรือ เคลือบฟลูออไรด์ ตามดุลยพินิจของแพทย์
- เคลือบหลุมร่องฟันในฟันกราม ตามดุลยพินิจของแพทย์
- คัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็ง ในผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
มีอาการเล็กน้อย รับยาฟรี
สปสช.ยังร่วมกับสภาเภสัชกรรมขยายกลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยจาก 16 อาการ เพิ่มเป็น 32 อาการ ปรึกษาเภสัชกรและรับยาตามอาการได้ที่ ร้านยาคุณภาพ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เริ่มให้บริการตั้งแต่ 3 ก.ย.67 เป็นต้นไป
การใช้สิทธิรับยาในร้านขายยาที่ร่วมโครงการ ในกลุ่ม 32 อาการ ซึ่งเป็นทางเลือกเลือกใหม่ สะดวก ไม่ต้องรอคิวและใกล้บ้าน โดยผู้มีสิทธิบัตรทองไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ใช้ได้ และไม่เสียค่าใช้จ่าย ใช้แค่บัตรประชาชน
- เวียนศีรษะ
- ปวดหัว
- ปวดข้อ/ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดฟัน
- ปวดประจำเดือน
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- ท้องผูก/ริดสีดวงทวาร
- ปัสสาวะแสบขัด
- ตกขาว
- แผล
- ผื่นผิวหนัง
- อาการทางตา
- อาการทางหู
- ไข้ ไอ เจ็บคอ
- ติดเชื้อโควิด
- น้ำมูก คัดจมูก
- มีอาการแผลในปาก
- ตุ่มน้ำใสที่ปาก
- แผลน้ำร้อนลวกไม่รุนแรง
- อาการคันผิวหนัง/ศีรษะ
- อาการจากพยาธิ
- อาการจากหิด เหา
- ฝี หนองที่ผิวหนัง
- อาการชา/เหน็บชา
- อาการนอนไม่หลับ
- เมารถ เมาเรือ
- เบื่ออาหารโดยไม่มีโรคร่วม
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการแพ้ยา/แพ้อาหารเล็กน้อย/แมลงกัดต่อย
- อาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่
- เหงือกอักเสบ/มีกลิ่นปาก
นอกจากนี้ จะมีการติดตามอาการเจ็บป่วยภายใน 3-5 วัน โดยผู้ป่วยต้องมารับบริการที่ร้าน และการจ่ายยาเป็นดุลยพินิจของเภสัชกร ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วม https://mishos.nhso.go.th/nhso4/inno_nearby#
เลิกบุหรี่ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ ถือเป็น 1 ใน 32 กลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ที่สปสช.และสภาเภสัชกรรม ได้ร่วมกันเพิ่มบริการให้ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ไม่ว่าจะมีสิทธิบัตรทองอยู่ที่ไหน หากมีอาการเหล่านี้สามารถปรึกษาเภสัชกรและรับยาตามอาการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ “ร้านยา 30 บาทรักษาทุกที่ ดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ”
อาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ ทั้งเป็นโรคทางเดินหายใจ ไอ ภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร รวมไปถึงอาการปวดต่างๆ ที่มีผลสืบเนื่องจากการสูบบุหรี่ เนื่องจากทางโครงการจะมีแบบฟอร์มให้ผู้ป่วยกรอกข้อมูล เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมส่วนตัว เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ซึ่งบางอาการผู้ป่วยอาจไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เช่น โรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน ที่บุหรี่มีส่วนทำให้เมือกในกระเพาะน้อยลง และทำให้โรคกระเพาะกำเริบได้ เป็นต้น
ปัจจุบันจึงยังได้มีการเพิ่มบริการเลิกบุหรี่ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายภายในร้านยาด้วย โดยหากผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเข้ามารับยาด้วยอาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ ทางเภสัชกรจะมีการชักชวนให้ผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการเลิกบุหรี่ได้
หากพบว่าผู้ป่วยพร้อมที่จะเลิกบุหรี่ ก็จะมีการนัดกลับเข้ามาที่ร้านยาอีกครั้ง เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จากนั้นทางเภสัชกรจึงเริ่มให้คำปรึกษา สอบถามสาเหตุเพื่อค้นหาว่าเขาติดบุหรี่จากอะไร เป็นการติดสารเสพติด ติดสังคม ติดความเคยชิน หรือว่าติดใจ จากนั้นจึงเป็นการให้คำแนะนำ พฤติกรรมบำบัด แล้วจ่ายยาไซทิซีน (Cytisine) ซึ่งเป็นตัวยาที่จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยเลิกบุหรี่ พอสำหรับใช้ใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยให้มารับยาเพิ่มและติดตามอาการทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 5 ก็จะต้องเลิกบุหรี่ได้
4 วิธีเช็คสิทธิรักษาพยาบาล ด้วยตนเอง
- โทร.สายด่วน สปสช. 1330 กด 2
- เว็บไซต์ สปสช. https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml
- แอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิตนเอง
- ไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 เลือกเมนู ตรวจสอบสิทธิ