ระบบประกันสังคมไทยเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2533 เพื่อสร้างหลักประกันรองรับความเสี่ยงและคุ้มครองคุณภาพชีวิตของแรงงาน ทั้งผู้มีงานทำ ผู้ว่างงาน และแรงงานอิสระ ผ่านการให้สิทธิประโยชน์สมาชิก เป็นหนึ่งในระบบสวัสดิการสังคมของประเทศ
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ระบบประกันสังคม ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ท่ามกลางความท้าทายจากปัญหาประชาชากรสูงวัยที่กำลังจำนวนมากขึ้นในอนาคตและความอยู่รอดของกองทุนประกันสังคมที่กำลังเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อย ๆ
จากกระแสการเรียกร้องและความต้องการของสมาชิกเพิ่มขึ้น ทำให้สำนักงานประกันสังคม จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบครั้งใหญ่เท่าที่เคยมีมา และจะเริ่มต้นในปี 2569 เป็นต้นไป
อ่านเพิ่มเติม: สูตรบำนาญ CARE รอรัฐบาลใหม่ คาดใช้กลางปี 69
บำนาญสูตรใหม่ได้เงินมากขึ้น
เดิมการจ่ายเงินบำนาญชราภาพของสำนักงานประกันสังคม ใช้วิธีเฉลี่ยค่าจ้างเฉพาะช่วง 60 เดือนสุดท้าย หรือช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง นำมาเป็นฐานคำนวณเงินบำนาญชราภาพ แม้สูตรนี้จะใช้มาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็สร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีค่าจ้างลดลงก่อนเกษียณ ผู้ที่เปลี่ยนจากมาตรา 33 เป็นมาตรา 39 และผู้ที่มีค่าจ้างสูงมาตลอดแต่กลับได้บำนาญเท่ากับผู้ที่มีค่าจ้างสูงเฉพาะช่วง 5 ปีสุดท้าย
ทั้งนี้เพื่อไม่เป็นการเปิดช่องให้มีการเอาเปรียบระบบได้ และสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกันตนมากขึ้น สำนักงานประกันสังคมจึงมีแนวความคิดเปลี่ยนสูตรคำนวณเงินบำนาญเดิม มาใช้เป็นระบบใหม่เรียกว่า CARE (Career-Average Revalued Earnings)
ระบบ CARE จะนำฐานค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบกับประกันสังคม มาปรับเป็นมูลค่าปัจจุบันก่อนเฉลี่ย เพื่อให้บำนาญที่ผู้ประกันตนจะได้รับสอดคล้องกับการจ่ายเงินสมทบทั้งหมดทุกเดือน ไม่ใช่เพียงแค่ 5 ปีเหมือนสูตรเดิม และยังสะท้อนกับค่าครองชีพที่แท้จริง

เทียบสูตรเดิม VS สูตรใหม่ CARE
สูตรคำนวณบำนาญแบบเดิม มีเงื่อนไขให้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบระยะเวลา 15 ปี (180 เดือน) จะได้อัตราบำนาญ 20% บนฐานเงินเดือน 5 ปีสุดท้าย และหากส่งเกินจากนั้นจะได้อัตราบำนาญเพิ่ม 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ 12 เดือน
ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันรายหนึ่งจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 200 เดือน จะได้อัตราบำนาญ 20% ของ 180 เดือนแรก ส่วนอีก 20 เดือนที่เหลือ จะได้เพิ่มอัตราบำนาญอีก 1.5% (ทุก 12 เดือนได้ 1.5%) แต่เศษอีก 8 เดือนที่เหลือจะถูกปัดทิ้งไม่ถูกนำมาคิดเพิ่มอัตราบำนาญ ส่งผลให้ผู้ประกันตนรายนี้จะได้รับอัตราบำนาญเท่ากับ 21.5% (อัตราพื้นฐาน 20% + ส่วนเพิ่ม 1.5%)
สูตรคำนวณใหม่แบบ CARE ใช้เงื่อนไขให้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบ 15 ปี (180 เดือน) เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนใหม่ คือ จะได้อัตราบำนาญ 20% บนฐานเงินเดือนที่จ่ายเงินสมทบทุกเดือน และหากส่งเงินสมทบเกิน 180 เดือน จะได้อัตราบำนาญเพิ่มตามเดือนที่ส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.125% ต่อเดือน โดยไม่ตัดเศษเดือนทิ้ง
ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนรายหนึ่งจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 200 เดือน ตามเงื่อนไข 180 เดือนแรกจะได้รับอัตราบำนาญพื้นฐาน 20% บนฐานเงินเดือนที่จ่ายเงินสมทบทุกเดือน ส่วนอีก 20 เดือนที่เหลือ จะได้อัตราบำนาญพื้นฐานเพิ่ม 20 เดือน x 0.125% ได้เท่ากับ 2.5% ส่งผลให้ผู้ประกันตนรายนี้จะได้รับอัตราบำนาญเท่ากับ 22.5% (อัตราพื้นฐาน 20% + ส่วนเพิ่ม 2.5%)
สรุป: จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า สูตรเดิมใช้ฐานเงินเดือนสูงสุด 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ (เพดานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท) นำมาคำนวณเป็นเงินบำนาญ หากผู้ประกันตนรายใดมีฐานเงินเดือนต่ำมานานและเริ่มสูงขึ้นในช่วง 5 ปีสุดท้าย ก็จะได้เงินบำนาญเทียบเท่ากับผู้ที่มีฐานเงินเดือนสูงมานานตั้งแต่ต้น ทั้งที่จ่ายเงินสมทบน้อยกว่ามานาน ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ให้เอาเปรียบระบบได้
แต่สูตรแบบ CARE จะนำฐานเงินเดือนทุกเดือนตั้งแต่เริ่มทำงาน มาปรับเป็นค่าเงินปัจจุบันก่อนมาเฉลี่ยคำนวณเงินบำนาญ ก็จะสอดคล้องกับการจ่ายสมทบจริง และมีความเป็นธรรมกับผู้ที่มีฐานเงินเดือนสูงมานาน ขณะเดียวกันผู้ที่มีเงินเดือนน้อยลง (ต่ำกว่า 15,000 บาท) ในช่วง 5 ปี สุดท้าย ก็จะได้เงินบำนาญมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้เงินสมทบที่จ่ายเกินจาก 15 ปี ก็จะคิดอัตราบำนาญเพิ่มขึ้นจากรายปี เป็นรายเดือนแทน ส่งผลให้จะไม่มีเดือนไหนที่โดนปัดเศษออก โดยสูตรใหม่นี้จะครอบคลุมทั้งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 รวมถึงผู้กำลังได้รับเงินบำนาญอยู่ด้วย
การเปลี่ยนสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพไปเป็นระบบ CARE ได้ผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนที่เกี่ยวข้องทั้งแบบออนไลน์และเวทีสัมมนา แม้ในระหว่างนั้นจะมีกระแสต่อต้านจากคนบางกลุ่มจนต้องมีการชี้แจงกันอย่างหนักหน่วง
หลังจากนำข้อมูลรับฟังความเห็นมาปรับปรุงเสร็จ คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) ได้พิจารณาเห็นชอบกับสูตร CARE โดยขั้นตอนต่อไปคือการปรับปรุงกฎหมายที่ต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน เริ่มจากการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงาน จากนั้นต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสุดท้ายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย ก่อนประกาศบังคับใช้
เพิ่มจ่ายสมทบพยุงกองทุน
ในอนาคตกองทุนประกันสังคม จะเผชิญความเสี่ยงมีเงินไม่เพียงพอจ่ายสิทธิประโยชน์ จากคาดการณ์ว่าประชากรวัยแรงงานใกล้จะน้อยลง ซึ่งส่งผลให้การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ลดลง แน่นอนว่าสูตรบำนาญใหม่ CARE ที่เพิ่มเงินบำนาญ ก็อีกหนึ่งปัจจัยกดดันฐานะการเงินของกองทุนฯ ด้วยเช่นกัน
สำนักงานประกันสังคมจึงปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง (ปรับขึ้นเพดานเงินเดือน) ที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมไม่เกิน 15,000 บาท ที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2538 เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเพิ่มความมั่นคงในด้านรายได้ของกองทุนฯ ให้สามารถรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นได้
การปรับขึ้นเพดานเงินเดือนดังกล่าว ได้ผ่านการอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และประกาศลงในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 โดยจะทยอยปรับ 3 ครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 3 ปี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและลดผลกระทบต่อผู้ประกันตนและนายจ้าง ดังนี้
- ระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.71 เงินเดือนไม่เกิน 17,500 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน
- ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.72 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.74 เงินเดือนไม่เกิน 20,000 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
- ระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.75 เป็นต้นไป เงินไม่เกิน 23,000 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ นายจ้างและรัฐบาลจะต้องส่งเงินสมทบในอัตราเดียวกันกับลูกจ้างด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการจ่ายเงินสมทบจะยังคงเท่าเดิมในอัตรา 5% ของเงินเดือน แต่เมื่อคำนวณจากเพดานเงินเดือนใหม่ จะส่งผลให้ต้องจ่ายเงินสมทบมากขึ้นตามข้อมูลข้างต้น
นอกจากปรับขึ้นเพดานเงินเดือนเท่านั้น สำนักงานประกันสังคมได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนทุกด้านควบคู่กันไปด้วย ทั้งในกรณีเจ็บป่วย ว่างงาน ทุพพลภาพ คลอดบุตร ตลอดจนกรณีชราภาพ โดยในช่วงเริ่มแรงของการปรับเพดานเงินเดือนระยะที่ 1 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้
- เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินทดแทนกรณีว่างงาน สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินสงเคราะห์กรณีคลอดบุตร 22,500 บาทต่อครั้ง เพิ่มเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง
- เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท เพิ่มเป็น 105,000 บาท
- เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 15 ปี สูงสุด 3,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 3,500 บาทต่อเดือน
- เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 25 ปี สูงสุด 5,250 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 6,125 บาทต่อเดือน
สรุป: จากข้อมูลข้างต้น แม้ผู้ประกันตนอาจต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมากขึ้น แต่ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นด้วย ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะมีการทยอยปรับเป็นระยะ
ปฏิรูปประกันสังคมยังอีกไกล
การเปลี่ยนสูตรบำนาญชราภาพแบบ CARE และปรับเพิ่มฐานเพดานเงินเดือน ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบประกันสังคมเท่านั้น เพราะปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้อาจต้องใช้เวลาอีกยาวนานในแก้ไข โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสิทธิประโยชน์สูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่กองทุนประกันสังคมกำลังเผชิญความเสี่ยงจากผู้ประกันตนหน้าใหม่มีแนวโน้มจะลดลง
มีคาดการณ์ว่าเงินในกองทุนนี้จะเพิ่มขึ้นสูงราว 2.8 ล้านล้านบาทในปี 2585 แต่หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ขาลง ซึ่งอาจกลายอุปสรรคสำคัญในอนาคต ดังนั้นระบบประกันสังคมจึงมีความจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงและปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนฯ และไม่ให้กระทบคุณภาพชีวิตประชากรไทยหลายสิบล้านคน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายมาเป็นภาระของภาครัฐ
ดั่งอดีตที่ปรึกษาการเงินการคลังบอร์ดประกันสังคม อนุสรณ์ ธรรมใจ เคยระบุไว้
“มันต้องปรับเป็นระยะ คือ อีกประมาณ 30 – 40 ปีข้างหน้า ก็อาจจะต้องปรับอีก หรือถ้าไม่ปรับอะไรได้เลยเนี่ย รัฐก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น หรือผู้ประกันตนในยุคนั้นก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องจ่ายมากขึ้นเหมือนประเทศในยุโรป แต่ว่าระบบนี้ต้องอยู่ต่อในความเห็นผม”
บทความที่เกี่ยวข้อง:




