โจทย์ท้าทายในระบบสาธารณสุขกำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการเลือกตั้งครั้งนี้ และเป็นสิ่งที่สังคมต้องจับตาว่า พรรคการเมืองใดจะมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการยกระดับระบบสุขภาพของประเทศให้ดีขึ้น
ตั้งแต่ต้นปี 2568 จะเห็นว่ามีปัญหาและความท้าทายหลายด้านเกิดขึ้นในระบบสุขภาพ โดยเฉพาะประเด็นความเหลื่อมล้ำของสิทธิการรักษาพยาบาลระหว่าง 3 กองทุนหลัก ประกันสังคม บัตรทอง และสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งยังคงหาทางออกที่ชัดเจนไม่ได้
ตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างกว้างขวาง คือ สิทธิทำฟันของผู้ประกันตนที่จำกัดเพดานไว้ปีละ 900 บาท สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียม เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิบัตรทอง นำไปสู่คำสั่งตั้งคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการรวม 3 กองทุน ในช่วงรัฐบาลแพทองธาร แต่กระบวนการดังกล่าวก็หยุดชะงักและเงียบหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
แม้ระบบบัตรทองจะถูกมองว่ามีสิทธิรักษาที่ครอบคลุม แต่ก็เผชิญปัญหาการเงิน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโดยตรงโดยเฉพาะปัญหา ”ใบส่งตัว“ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา ทั้งยังสร้างความยากลำบากในการเดินทางรักษาตัว ซ้ำเติมภาวะเจ็บป่วย
ขณะเดียวกัน การจ่ายชดเชยค่ารักษาให้กับโรงพยาบาล ที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง เช่น ค่า Adjusted RW ที่ปรับลดลงในช่วงปลายปีงบประมาณ ส่งผลให้โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งประสบภาวะขาดทุน เงินบำรุงติดลบ และกระทบต่อการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์
ขณะที่วิกฤตกำลังคนในระบบสาธารณสุข บุคลากรจำนวนมากต้องทำงานหนักเกินกำลัง บางกรณีมีชั่วโมงการทำงานต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ชั่วโมงโดยไม่ได้พักผ่อน เกิดภาวะหมดไฟ (burnout) และนำไปสู่การลาออกของแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขจากระบบโรงพยาบาลรัฐ อย่างต่อเนื่อง
จะมีมาตรการใดในการจูงใจให้แพทย์และบุคลากรอยู่ในระบบต่อไป ควบคู่กับการวางแผนผลิตกำลังคนด้านสุขภาพเพิ่มอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีข้อเสนอเชิงนโยบายและเครื่องมือทางกฎหมายหลายฉบับที่ถูกจับตา ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติกระทรวงสาธารณสุข ที่เสนอให้แยกออกจากระบบ ก.พ. รวมถึงร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งยังต้องรอดูว่าจะได้รับการผลักดันในรัฐสภาชุดหน้าอย่างจริงจังหรือไม่
อีกด้านหนึ่ง ระบบบริการปฐมภูมิซึ่งถูกวางให้เป็นความหวังหลักในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การส่งเสริมป้องกันโรค และการลดภาระโรงพยาบาลขนาดใหญ่ กลับยังไม่เห็นความคืบหน้ามากนัก คลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิสิทธิ์บัตรทองที่เข้าถึงได้ ก็มีปัญหาการเบิกจ่ายเช่นกัน การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ยังมีช่องว่างและปัญหาที่ต้องถกเถียง ขณะที่แนวคิด “หมอประจำครอบครัว” ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปสัมผัสได้จริงในชีวิตประจำวัน
ในทางกลับกัน บทบาทของ อสม. กลับมีพัฒนาการก้าวหน้าอย่างมาก การผลักดันร่างพระราชบัญญัติ อสม. จากทุกพรรคการเมือง แต่คำถามสำคัญคือ บทบาทของ อสม. จะถูกพัฒนาและเชื่อมโยงเข้ากับระบบบริการปฐมภูมิในระยะยาวอย่างไร เพื่อให้เป็นพลังหลักในการดูแลสุขภาพชุมชนอย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนในภาพรวมที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดว่า พรรคการเมืองที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้ง จะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาระบบสาธารณสุขอย่างจริงจัง พร้อมนำเสนอนโยบายที่ชัดเจน ทำได้จริง ตอบโจทย์ ทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ ที่ต้องหาจุดสมดุลกันต่อไป

สำรวจนโยบายสาธารณสุข 4 พรรค สู้ศึกเลือกตั้ง69
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายรอบด้านของระบบสาธารณสุขไทย นโยบายสาธารณสุขจึงไม่ใช่เพียง “นโยบายด้านสวัสดิการ” หากแต่เป็นโจทย์เชิงโครงสร้างที่สะท้อนวิธีคิดของแต่ละพรรคว่าจะออกแบบรัฐสวัสดิการ การบริหารงบประมาณ และการกระจายอำนาจอย่างไรในระยะยาว
-
พรรคเพื่อไทย : ยกเครื่อง “30 บาทรักษาทุกที่” ด้วย AI ดันไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก
พรรคเพื่อไทยเสนอการต่อยอดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยแนวคิด “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วย AI” โดยมุ่งยกระดับระบบดิจิทัลด้านสุขภาพให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
สาระสำคัญคือ ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ ขณะที่แพทย์และหน่วยบริการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยผ่าน ระบบฐานข้อมูลเดียวกันทั่วประเทศ ลดปัญหาการตรวจซ้ำซ้อน และเพิ่มความต่อเนื่องของการรักษา พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนการรักษา และบริหารจัดการภาระงาน เพื่อยกระดับคุณภาพบริการสาธารณสุขโดยรวม
ในเชิงเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยยังผลักดันแนวคิด Medical Hub วางประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพระดับโลก ควบคู่กับการสร้างรายได้และยกระดับศักยภาพระบบสุขภาพภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรด่านหน้า โดยเสนอ หลักประกันสวัสดิภาพ อสม. อสส. และ ชรบ. ทั่วประเทศ เพื่อเสริมความมั่นคงให้กลไกสุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นฐานสำคัญของระบบบริการปฐมภูมิ
-
พรรคประชาชน : ปฏิรูประบบทั้งโครงสร้าง เน้น “คุณค่า” และความเท่าเทียม
พรรคประชาชนเสนอการปฏิรูประบบสาธารณสุขในเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน โดยยึดแนวคิด การจัดบริการสุขภาพแบบเน้นคุณค่า (Value-based Care) เปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณจากการจ่ายตาม “ปริมาณการรักษา” เป็นการจ่ายตาม “ผลลัพธ์ทางสุขภาพ” เพื่อจูงใจให้โรงพยาบาลเน้นคุณภาพ ลดภาวะแทรกซ้อน และสร้างความยั่งยืนของระบบในระยะยาว
อีกนโยบายสำคัญคือ การปฏิรูประบบสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร ด้วยการโอนอำนาจบริหารงบประมาณบัตรทองให้ กทม. เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อเชื่อมทรัพยากรสุขภาพที่กระจัดกระจายให้ทำงานเป็นเครือข่ายเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลประชาชนเมืองหลวง
พรรคประชาชนยังชูนโยบาย สร้างความเท่าเทียมของ 3 กองทุนสุขภาพ ผ่านการกำหนด “ชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน” มาตรฐานเดียวกันทุกกองทุน จากนั้นเปิดทางให้สิทธิส่วนเสริมจากนายจ้างหรือประกันเอกชน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทางงบประมาณ
ด้านการบริหารจัดการ เสนอ การปฏิรูป สปสช. ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ ปรับโครงสร้างบอร์ดให้ยึดโยงพื้นที่และภาคประชาชน พร้อมตั้งงบประมาณบัฟเฟอร์รองรับความคลาดเคลื่อนของค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มเสถียรภาพระบบบัตรทอง
นอกจากนี้ ยังผลักดัน ระบบยาเพื่อประชาชน ผ่านใบสั่งยาออนไลน์เชื่อมโยงโรงพยาบาลและร้านขายยาทั่วประเทศ ลดการใช้ยาซ้ำซ้อนและปัญหาเชื้อดื้อยา พร้อมจัดตั้งศูนย์ข้อมูลยาแห่งชาติให้ราคายาโปร่งใส
ในมิติกำลังคน พรรคประชาชนเสนอ ยกระดับ อสม. สู่ “แนวหน้าสุขภาพ” เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมค่าตอบแทนตามภาระงานจริง และ จำกัดชั่วโมงทำงานแพทย์ไม่เกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อแก้ปัญหาหมดไฟและการลาออกจากระบบ
-
พรรคภูมิใจไทย : “สูงวัยพลัส” เน้นบริการใกล้บ้าน–สวัสดิการผู้สูงอายุ
พรรคภูมิใจไทยวางนโยบายสาธารณสุขบนโจทย์ สังคมสูงวัย อย่างชัดเจน โดยชูนโยบาย “1 หมู่บ้าน 1 พยาบาลอาสา” จ้างบุคลากร 100,000 อัตรา จากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพื่อดูแลผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ในชุมชน กำหนดค่าตอบแทน 15,000 บาทต่อเดือน สัญญาจ้างขั้นต่ำ 4 ปี
ควบคู่กับการผลักดัน ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รองรับจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านบริการรักษา พรรคภูมิใจไทยเสนอ เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีทุกจังหวัด และ ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มการเข้าถึงบริการจำเป็น
ในระดับสวัสดิการ ยังเสนอ เพิ่มค่าตอบแทน อสม. เป็น 2,000 บาทต่อเดือน และจัดตั้ง กองทุนประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้กรมธรรม์ฟรี ใช้เป็นหลักประกันทางเศรษฐกิจ ทั้งในกรณียังมีชีวิตและเมื่อเสียชีวิต ภายใต้แนวคิด “พูดแล้วทำ”
-
พรรคประชาธิปัตย์ : ปฐมภูมิ–ท้องถิ่น–สิ่งแวดล้อมสุขภาพ
พรรคประชาธิปัตย์เน้นนโยบายสาธารณสุขในมิติ ฐานรากและความยั่งยืนของชุมชน โดยให้ความสำคัญกับการ พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยเฉพาะ รพ.สต. และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทดูแลสุขภาพประชาชนมากขึ้น
อีกแกนหลักคือ การยกระดับสวัสดิการบุคลากรสาธารณสุข ทั้ง อสม. และเจ้าหน้าที่ เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบด่านหน้า พร้อมเชื่อมโยงนโยบายสุขภาพเข้ากับ การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อสุขภาพ เช่น อากาศสะอาด มลพิษ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว
เลือกตั้งต้องตอบโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ 3 กองทุน”
จากนโยบายด้านสาธารณสุขของ 4 พรรคการเมืองที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ Thai PBS Policy Watch สัมภาษณ์มุมมองจากผู้ที่ติดตามและมีส่วนร่วมกับระบบสุขภาพโดยตรง ทั้งในฝั่งภาคประชาชนและภาควิชาการทางการแพทย์ ว่านโยบายที่พรรคการเมืองหยิบยกขึ้นมา สามารถตอบโจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทยได้มากน้อยเพียงใด
สมชาย กระจ่างแสง ตัวแทนภาคประชาชน และคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) เขต 13 กรุงเทพมหานคร ให้ความเห็นว่า นโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคการเมืองที่ใกล้เคียงกับความคาดหวังของภาคประชาชนมากที่สุดในขณะนี้ คือ นโยบายที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง 3 กองทุนสุขภาพหลัก ได้แก่ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ
ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คือการสร้างความเท่าเทียมของระบบสุขภาพใน 2 มิติหลัก ได้แก่ การจัดบริการ และงบประมาณ โดยควรมี “สิทธิประโยชน์กลาง” ที่ใช้ร่วมกันในทุกกองทุน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในระบบใด
ขณะเดียวกัน ต้องมีการเกลี่ยงบประมาณให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันแต่ละกองทุนใช้งบประมาณต่อหัวไม่เท่ากัน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ หากสามารถเฉลี่ยงบประมาณให้ใกล้เคียงกันได้ จะช่วยให้กองทุนที่มีงบต่ำสามารถเพิ่มค่าเหมาจ่ายรายหัว และช่วยบรรเทาภาระของหน่วยบริการ
“ปัจจุบันสิทธิประโยชน์ถือว่าเกือบสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือการช่วยให้หน่วยบริการอยู่ได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลและคลินิกที่ได้รับงบแบบปลายปิด เมื่อเงินหมดก่อนรอบงบประมาณ จะส่งผลต่อการให้บริการโดยตรง” นายสมชาย กล่าว
สมชาย เห็นว่า พรรคการเมืองควรแสดงวิสัยทัศน์เชิงนโยบายในภาพใหญ่เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ 3 กองทุน ส่วนการปรับปรุงเชิงเทคนิค เช่น ระบบข้อมูลหรือกลไกบริหารย่อย เป็นเรื่องที่หน่วยงานและบอร์ดที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ ไม่ควรนำมาเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง
นอกจากนี้ ยังสะท้อนปัญหานโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” ว่า แม้เป็นแนวคิดที่ก้าวหน้า แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและศักยภาพของหน่วยบริการ ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาไม่สามารถเข้ารับบริการได้จริง และเกิดความขัดแย้งในระบบส่งต่อ โดยเฉพาะกรณีที่โรงพยาบาลต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มจากการรับผู้ป่วยส่งต่อ
ในมุมของภาคประชาชน “สมชาย” ยอมรับว่ามีความกังวลต่อภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเห็นว่าปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ค่าตอบแทน และการกระจายกำลังคน เป็นเรื่องเชิงนโยบายที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขต้องเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้ให้บริการกับกองทุน
สำหรับการปฏิรูปสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายสมชาย มองว่า ประเด็นหลักไม่ใช่การปรับโครงสร้างบอร์ด แต่ควรโฟกัสที่การเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และหากจำเป็น รัฐบาลควรพิจารณานำงบกลางมาเสริม เพื่อให้ระบบสามารถเดินต่อไปได้อย่างยั่งยืน
“ถ้าการเมืองมองเห็นปัญหาและอุดช่องโหว่เรื่องงบประมาณ ระบบจะอยู่ได้ทั้งสามฝ่าย คือ ประชาชน ผู้ให้บริการ และผู้ดูแลกองทุน โดยไม่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม” นายสมชาย กล่าว
สมชาย ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายสูงสุดคือการบริหารจัดการระบบสุขภาพภายใต้ระบบเดียวกัน แต่ในระยะเร่งด่วนควรเริ่มจากการทำให้สิทธิประโยชน์ของทุกกองทุนเท่าเทียมกันก่อน เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความขัดแย้งในระบบสุขภาพไทยในระยะยาว
เสนอทบทวน พ.ร.บ.หลักประกันฯ แก้โครงสร้าง ไม่ใช่แค่เพิ่มงบ
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย กรรมการเครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย (UHosNet) เปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปัจจุบัน สะท้อนถึงความไม่สมดุลของโครงสร้างระบบ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ผู้ป่วย ผู้ให้บริการ และผู้ซื้อบริการหรือกองทุน ซึ่งควรต้องเคลื่อนไปพร้อมกัน แต่ในความเป็นจริงกลับยังไม่สามารถเดินไปในทิศทางเดียวกันได้
ผศ.นพ.สนั่น ระบุว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ความไม่สมดุลของกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบาย ทำให้ภาระตกอยู่กับบางฝ่ายมากเกินไป โดยเฉพาะหน่วยบริการ จึงเห็นว่าจำเป็นต้องสร้างกลไกให้ทั้งสามภาคส่วนเกิดดุลยภาพร่วมกัน ซึ่งอาจต้องเริ่มจากการทบทวนและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“เราใช้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2545 แต่ปัญหาหลายอย่างยังคงอยู่ และบางเรื่องกลับรุนแรงขึ้น ที่ผ่านมาอาจยังไม่ถูกพูดถึงในที่สาธารณะมากนัก แต่ปัจจุบันปัญหาเหล่านี้ถูกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน แสดงว่าระบบที่ใช้อยู่ยังมีจุดที่ต้องทบทวน” ผศ.นพ.สนั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.สนั่น ย้ำว่า การสร้างสมดุลของระบบต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นโยบายใดก็ตามที่ออกมาภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องเป็นสิ่งที่ระบบสามารถรองรับได้จริง หากสามารถสร้างสมดุลนี้ได้ ประชาชนจะได้รับบริการที่เหมาะสม ขณะที่ผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการก็จะสามารถดำเนินงานได้ภายใต้ภาระที่รับไหว
สำหรับแนวทางการแก้ไขกฎหมาย ผศ.นพ.สนั่น มองว่า เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติถือว่าดี และเนื้อหาหลักยังสามารถใช้ได้ แต่ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการในทางปฏิบัติ ซึ่งทำให้ระบบเกิดความไม่สมดุล การแก้ไขจึงไม่จำเป็นต้องรื้อกฎหมายทั้งฉบับ แต่ควรเพิ่มเติมกลไกบางประการ เพื่อป้องกันไม่ให้การบริหารจัดการเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
ผศ.นพ.สนั่น ยังตั้งข้อสังเกตถึงความเข้าใจของสังคมต่อสิทธิ “บัตรทองรักษาได้ทุกที่” ว่า ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัดด้านระบบปฐมภูมิ การส่งต่อ และศักยภาพของโรงพยาบาล หากเปิดให้เข้ารับบริการได้ทุกแห่งโดยไม่มีเงื่อนไข ย่อมทำให้เกิดปัญหาระยะเวลารอคอยที่ยาวขึ้น และระบบอาจไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจำนวนมากได้
นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการคุ้มครองค่าใช้จ่าย โดยแม้กองทุนจะระบุว่าสิทธิครอบคลุมการรักษาทุกกรณี แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยบริการที่ได้รับงบประมาณแบบเหมาจ่ายต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือยานอกบัญชี ส่งผลให้บางกรณีไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่
“เมื่อกองทุนบอกว่าให้ได้ทุกอย่าง แต่การจ่ายเงินไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง หน่วยบริการก็จะเป็นฝ่ายรับความเสี่ยง สุดท้ายจึงเกิดคำถามว่าปัญหาอยู่ที่กองทุนหรือหน่วยบริการ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ” ผศ.นพ.สนั่น กล่าว
ผศ.นพ.สนั่น ทิ้งท้ายว่า หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความสมดุลระหว่างทั้งสามภาคส่วน การสื่อสารเชิงนโยบายที่สร้างความคาดหวังสูง อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาและทำให้ระบบบริการสาธารณสุขเผชิญแรงกดดันมากขึ้นในระยะยาว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง;
- อยู่ไม่ไหว จึงต้องออก: วิกฤตบุคลากรระบบสุขภาพ
- โลกใหม่-เศรษฐกิจใหม่: ความเข้าใจสร้างสุขภาวะยั่งยืน รับวิกฤตซ้อนวิกฤต
- ชงขอ “งบบัตรทอง” ปี 70 พุ่ง 3.2 แสนล้าน เหมาจ่ายรายหัว 5,299 บาท




