การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมมีจุดเริ่มจากปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเดิม ที่ให้กระทรวงแรงงานเป็นผู้คัดเลือกกรรมการเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตัวแทนฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตนซึ่งควรเป็นเจ้าของเงินกองทุนตามหลักไตรภาคี แต่กลับไม่มีสิทธิกำหนดตัวแทนของตนเองอย่างแท้จริง ทำให้ระบบถูกวิพากษ์วิจารณ์มายาวนานว่าไม่โปร่งใส ไม่ยึดโยงกับผู้จ่ายเงินสมทบ และเปิดช่องให้กลุ่มผลประโยชน์เดิม ๆ ครอบงำการบริหารกองทุนที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท
ภายใต้แรงกดดันและเสียงร้องเรียงของเครือข่ายแรงงาน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี “การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม” จึงเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2564 ผ่านระเบียบกระทรวงแรงงานฉบับใหม่ ซึ่งเปิดทางให้ผู้ประกันตนและนายจ้างสามารถลงสมัคร หาเสียง และเลือกตั้งตัวแทนของตนเองได้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ระบบประกันสังคมก้าวเข้าสู่กลไกประชาธิปไตยมากขึ้น มีตัวแทนที่สะท้อนเสียงของผู้มีส่วนได้เสียจริง โดยมีตัวแทนผู้ประกันตนและนายจ้างฝ่ายละเจ็ดคนตามสิทธิเลือกตั้ง 1 คนเลือกได้ 7 คน
ถึงช่วงปี 2568-2569 ใกล้ครบวาระของคณะกรรมการชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง กลับพบความพยายามในการแก้ไขระเบียบเลือกตั้งที่มีประเด็นน่าสังเกตว่าจะเป็น “ขบวนการล้มการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม“ หรือไม่ ?
คณะอนุกรรมการแก้ไขระเบียบเลือกตั้ง มีเพียงตัวแทนฝ่ายรัฐ
ประเด็นสำคัญในการแก้ไขระเบียบ คือ คณะอนุกรรมการที่มีหน้าที่แก้ไขระเบียบเลือกตั้งประกอบด้วยเพียงตัวแทนฝ่ายรัฐเท่านั้น ไม่มีตัวแทนจากฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตนเข้าร่วม การดำเนินการนี้ขัดต่อหลักการไตรภาคีซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบประกันสังคมสากล ที่กำหนดให้รัฐ นายจ้าง และลูกจ้างต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างเท่าเทียมกัน
การที่ฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเพียงผู้มีส่วนได้เสียฝ่ายเดียวเป็นผู้กำหนดกติกาการเลือกตั้งเพียงลำพัง เป็นการผูกขาดอำนาจและอาจนำไปสู่การออกแบบกติกาที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มากกว่าการสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด
แหล่งที่มาของข้อเสนอที่ขาดความเป็นกลาง
การแก้ไขระเบียบครั้งนี้อาศัยข้อเสนอจากสองแหล่งหลัก ได้แก่
- รายงานจากอนุกรรมาธิการด้านประกันสังคม วุฒิสภา ซึ่งมีสมาชิกหลายคนเคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการประกันสังคมแต่แพ้การเลือกตั้ง การที่ผู้แพ้เลือกตั้งกลับมามีบทบาทในการออกแบบกติกาใหม่ ก่อให้เกิดคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความเป็นกลางของข้อเสนอ
- เวทีรับฟังความเห็นที่จัดโดยสำนักงานประกันสังคม ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกันกับในข้อ 1 นอกจากนี้ กลุ่มดังกล่าวยังเป็นผู้สนับสนุนโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า เช่น การผลิตปฏิทิน เสื้อ หมวก ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก
การที่กระบวนการรับฟังความเห็นไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้เสียอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะผู้ประกันตนและนายจ้างทั่วไป แต่กลับให้น้ำหนักกับความเห็นของกลุ่มที่มีผลประโยชน์เฉพาะ ทำให้ความชอบธรรมของการแก้ไขระเบียบครั้งนี้ต้องถูกตั้งคำถาม
สาระสำคัญของร่างระเบียบใหม่ “จำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง”
1.การเปลี่ยนจาก “1 สิทธิ เลือก 7 คน” เป็น “1 สิทธิ เลือก 1 คน”
นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุดและมีปัญหาทางเทคนิคอย่างชัดเจน การอ้างอิงกติกาการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ 1 เขตเลือกตั้งได้ 1 ที่นั่งมาปรับใช้กับการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมนั้นไม่สอดคล้องกับบริบท เนื่องจาก:
- การเลือกตั้ง ส.ส. : 1 เขตเลือกตั้ง มี 1 ที่นั่ง → ผู้มีสิทธิเลือกได้ 1 คน (สัดส่วนสอดคล้องกัน)
- การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม: 1 เขตเลือกตั้ง มี 7 ที่นั่ง → แต่ผู้มีสิทธิเลือกได้เพียง 1 คน (ตัดสิทธิ 6 เสียง)
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้
- ลดอำนาจในการเลือก: ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งสามารถแสดงความต้องการได้เพียงบางส่วน ไม่สามารถเลือกทีมที่มีนโยบายครบถ้วนทั้ง 7 ตำแหน่งได้
- กีดกันการรวมตัวเป็นทีม: ทำลายกลไกการนำเสนอนโยบายแบบองค์รวม ส่งเสริมการแข่งขันแบบปัจเจกบุคคลแทนการนำเสนอวิสัยทัศน์ร่วม
- เอื้อต่อผู้ที่มีฐานเสียงเดิม: กลุ่มที่มีเครือข่ายและทรัพยากรในการหาเสียงแบบบุคคลจะได้เปรียบกว่าทีมใหม่ที่พึ่งพานโยบาย
2.การแบ่งโควตาที่ไม่สมดุล
ร่างระเบียบกำหนดให้แบ่งโควตาผู้ประกันตนตามมาตรา (มาตรา 33, 39, 40) แต่ไม่แบ่งโควตาฝ่ายนายจ้าง การออกแบบนี้อาจสะท้อนการมองว่าผู้ประกันตนเป็นกลุ่มที่ต้อง “แบ่งแยก” ในขณะที่นายจ้างเป็น “กลุ่มเดียวกัน” ซึ่งไม่สอดคล้องกับความหลากหลายของภาคธุรกิจ
การแบ่งโควตาที่เหมาะสมควรคำนึงถึงความหลากหลายของทั้งสองฝ่าย เช่น แบ่งตามขนาดธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม หรือลักษณะการจ้างงาน เพื่อให้เกิดการเป็นตัวแทนที่แท้จริง
3.การจำกัดการเข้าถึงสิทธิ
การกำหนดให้มีหน่วยเลือกตั้งเพียงจังหวัดละ 1 แห่ง อาจสร้างอุปสรรคต่อการใช้สิทธิ โดยเฉพาะในจังหวัดขนาดใหญ่หรือพื้นที่ห่างไกล การเข้าถึงสิทธิในการเลือกตั้งควรเป็นเรื่องง่ายและสะดวก ไม่ควรมีอุปสรรคทางกายภาพที่อาจลดการมีส่วนร่วม
4.ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่มากเกินไป
ร่างระเบียบให้อำนาจดุลพินิจแก่ข้าราชการในหลายประเด็น ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่โปร่งใส การออกแบบระเบียบควรมีความชัดเจน มีหลักเกณฑ์ที่ตรวจสอบได้ และจำกัดการใช้ดุลพินิจให้น้อยที่สุด
ช่องว่างทางอำนาจ จงใจหรือบังเอิญ?
การกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ในขณะที่บอร์ดชุดปัจจุบันหมดวาระในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ทำให้เกิดช่องว่างทางอำนาจนานถึง 5 เดือน ระหว่างนี้จะต้องบริหารงานด้วยคณะกรรมการรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจหลายประการ
ช่องว่างนี้อาจส่งผลกระทบต่อ
- การตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญ: คณะกรรมการรักษาการอาจไม่สามารถดำเนินการในเรื่องสำคัญได้
- การบริหารจัดการงบประมาณ: อาจเกิดความล่าช้าในโครงการต่างๆ
- ความต่อเนื่องในการทำงาน: การขาดผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งเต็มอำนาจอาจสร้างความไม่แน่นอน
คำถามที่ตามมาคือ การกำหนดระยะเวลาดังกล่าวเป็นความบังเอิญจากการวางแผนที่ไม่ดี หรือเป็นความตั้งใจเพื่อสร้างช่องว่างให้กลุ่มอำนาจเดิมสามารถกลับมามีอิทธิพลได้?
ผลลัพธ์ของการบริหารงานในยุคเลือกตั้งทางตรง
สิ่งสำคัญที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณาคือผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดปัจจุบันที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง ซึ่งรายงานระบุว่าสามารถ
- เพิ่มสวัสดิการให้ผู้ประกันตน
- สร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ
- ลดการใช้งบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
หากผลการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางที่ดี เหตุใดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงกติกาอย่างมีนัยสำคัญ? การปฏิรูประบบควรเกิดขึ้นเมื่อระบบล้มเหลว ไม่ใช่เมื่อระบบเริ่มทำงานได้ตามเจตนารมณ์
ทางแยกของประชาธิปไตยในกองทุนประกันสังคม
การแก้ไขระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของกระบวนการทางเทคนิค แต่เป็นคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับทิศทางของประชาธิปไตยในการบริหารจัดการกองทุนที่เป็นของผู้ใช้แรงงานกว่า 23 ล้านคน
หากการแก้ไขดำเนินไปตามร่างที่มีประเด็นข้างต้น จะเป็นการถอยหลังจากเจตนารมณ์ของการให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง กลับไปสู่ระบบที่อำนาจอยู่ในมือของกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ
กองทุนประกันสังคมมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท เป็นเงินที่มาจากการหักค่าจ้างและเงินสมทบของนายจ้าง ไม่ใช่เงินของรัฐหรือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการจึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าของเงินอย่างแท้จริง
การเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรม และสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ใช่เพียงสิทธิพื้นฐาน แต่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสังคม หากการแก้ไขระเบียบครั้งนี้ดำเนินไปโดยขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง จะเป็นการสร้างรอยร้าวต่อความไว้วางใจที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ทางออกที่เหมาะสม คือการหยุดกระบวนการที่มีปัญหาในปัจจุบัน เปิดให้มีการพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และออกแบบระเบียบที่เสริมสร้างการมีส่วนร่วม ไม่ใช่จำกัดสิทธิ เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นไปอย่างมีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
ประกันสังคมเป็นของผู้ใช้แรงงาน ไม่ใช่ของกลุ่มผลประโยชน์ การบริหารจัดการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และที่สำคัญคือต้องเกิดจากเจตนารมณ์ของผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง ไม่ใช่จากการออกแบบกติกาเพื่อให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้เปรียบ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:


