กรณีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืน ซึ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา คือ คัดค้านต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. … 2) ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และ 3) ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. …เมื่อ 12 พ.ย. 68
เนื้อหาคำแถลงสรุปได้สั้น ๆ คือ หากกฎหมายมีผลบังคับใช้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งหากดูเป้าหมายที่ตัวแทนของกกร.ตั้งโต๊ะแถลงในทุกประเด็น แม้จะอ้างเหตุผลในการชี้แจงไปต่างต่างนา ๆ แต่ทุกประเด็นมักจะซ่อนเรื่อง “ภาระต่อภาคธุรกิจ” พ่วงไปด้วยเสมอ หรือ อย่างน้อยก็อ้างเหตุผลซ่อนไว้ในการแถลงไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง 3 ฉบับ ทำให้ดูเหมือนว่าหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ เศรษฐกิจไทยจะล่มสลายภายในพริบตา
ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการ ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ทั้ง 2 ฉบับ เมื่อ 24 ก.ย. 68 และอยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ โดยมีการแก้ไขในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง การกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน และการเพิ่มสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปี การปรับปรุงสิทธิการลาหยุดเนื่องจากมีประจำเดือน การลาเพื่อดูแลบุคคลในครอบครัว การจัดสถานที่และเวลาสำหรับการให้นมบุตรหรือน้ำนมบีบเก็บในสถานประกอบการ เป็นต้น
หากพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายแรงงานใหม่หลายประเด็น เป็นการเพิ่ม “สวัสดิการให้กับแรงงาน” ในระบบ เพื่อให้มีโอกาสในการดำรงชีวิตที่ดี และมีเวลาในการยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองในหลาย ๆ ด้าน จากที่ผ่านมา มักจะมีกล่าวถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยและประเด็นการพัฒนาฝีมือแรงงานว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วกฏกติกาที่ต้องแก้ไขให้เกิดสิ่งเหล่านี้ กลับถูกคัดค้านจาก “กลุ่มผลประโยชน์”ในนามของสมาคม และมักจะพยายามผลักดันในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มตัวเองเป็นหลัก โดยอ้างว่ากระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ประเด็นเรื่องสิทธิประโยชน์ของแรงงานอาจไม่เป็นประเด็นคัดค้าน หากภาระที่เกิดขึ้นถูกโยนไปให้ภาครัฐและไม่ใช่กลุ่มตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ แต่ทันทีที่เกิดผลกระทบต่อต้นทุน หรือ กำไรของตน ก็จะออกมาเคลื่อนไหวทันทีอย่างไม่รอช้า ในขณะที่อีกด้านก็ป่าวประกาศต้องการสังคมที่ดีมีคุณธรรม และอยากให้สังคมไทยยกระดับการพัฒนาให้สูงขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้อย่างไร หากมีคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้รับการดูแลให้มีชีวิตที่ดี แต่ผลกระโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับกระจุกตัว ทั้ง ๆ ที่ผลประโยชน์เหล่านี้บางด้านก็ใช้ทรัพยากรสาธารณะที่เป็นของส่วนรวม
สำหรับประเด็นการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ.…ก็แทบไม่ต่างกันเลยกับเรื่องคุณภาพชีวิตแรงงาน แม้จะเห็นด้วยถึงปัญหามลพิษทางอากาศและเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่มุ่งยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 แต่กกร.ระบุว่า “มีข้อกังวลเรื่องความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมถึงกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลมลพิษทางอากาศอยู่แล้ว ซึ่งอาจสร้างความซ้ำซ้อนด้านอำนาจหน้าที่ และเพิ่มต้นทุนต่อภาคธุรกิจโดยไม่จำเป็น”
กกร.ยังหยิบยกเหตุผลมากมายเพื่อไม่เห็นด้วยในหลายประเด็นและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งอีกความหมายก็คืออยากเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเรื่อง “อากาศสะอาด” แต่สิ่งที่กกร.ขาดไปในการพิจารณาการแก้ปัญหาเรื่องอากาศสะอาด คือ เป็นเรื่องระดับชาติ ไม่ใช่กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ “กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง”เท่านั้น เพราะผลกระทบเกิดขึ้นในวงกว้างมาก ซึ่งแทบทุกซอกมุมของประเทศได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีปัญญาซื้ออากาศด้วยเทคโนโลยี ดังนั้น ทุกคนทุกกลุ่มต้องยอมเสียสละไม่มากก็น้อย เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
เช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ.… ที่กกร.คัดค้านนับว่า “เปิดเจตนาที่แท้จริงอย่างชัดเจนที่สุด” โดยอ้างว่า “ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ลดขีดความสามารถในการแข่งขัน กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน” อาทิ การรื้อฟื้นระบบใบอนุญาตโรงงานแบบมีอายุ หรือ การเพิ่มประเภทโรงงานควบคุมพิเศษ ซึ่งนับว่าน่าแปลกอย่างมาก เพราะในยุคปัจจุบันที่คนทั่วโลกหันมาสนใจเรื่องแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กกร.กลับเห็นว่ากระทบความเชื่อมั่น ทั้ง ๆที่จริงแล้ว “อุตสาหกรรมยุคโบราณ” ต่างหากที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดังนั้น ในยุคที่เศรษฐกิจของประเทศมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเป็นหนึ่งเดียว ประเด็นเรื่อง “การอยู่ร่วมกัน” หรือคำที่ชอบท่องจำกันว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ย่อมมีความสำคัญมากกว่า “ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม” หรือ พูดง่าย ๆ คือ “ผลกำไรทางธุรกิจ” เพราะอย่างหลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนในสังคมไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งสังคมไทยเคยมีบทเรียนมาแล้วในช่วงที่เกิดความขัดแย้งรุนแรง “ฆ่ากันตายกลางเมืองหลวง” ซึ่งในช่วงนั้นต่างก็ยอมรับกันว่าสิ่งที่เร่งแก้คือ “ความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งเป็นต้นตอความรุนแรง แต่ทำไมผ่านไปไม่กี่ปี เรากำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหาแบบเดิม ๆ อีก
อาจจะเป็นเพราะว่า คนบางกลุ่มพร้อม “ทิ้งคนอื่นไว้เบื้องหลัง” เพื่อ “ผลกำไรทางธุรกิจ” แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร? และสภาฯจะปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมจริงหรือ?
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




