จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศราว 1.6 ล้านคน และมีการคาดการณ์ว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือในปี 2582 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 2.2 ล้านคน
ก่อนหน้านั้น ในปี 2563 มีสถิติจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าประเทศไทยมีประชากรหญิงข้ามเพศ (ผู้ที่มีเพศกำเนิดชายข้ามเป็นหญิง) ประมาณ 313,747 คน สำหรับจำนวนประชากรชายข้ามเพศ (ผู้ที่มีเพศกำเนิดหญิงข้ามเป็นชาย) ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด
โดยกลุ่มประชากรชายและหญิงข้ามเพศรวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหลาย ๆ คนจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการในการยืนยันเพศสภาพหรือการข้ามเพศ ซึ่งรวมถึงการเข้ารับคำปรึกษา การใช้ฮอร์โมน การผ่าตัด ซึ่งแม้ว่าประชากรส่วนหนึ่งอาจไม่จำเป็นหรือไม่ประสงค์จะรับฮอร์โมนหรือเข้ารับการผ่าตัด แต่ไม่ว่าจะเข้าสู่กระบวนแบบไหน ตลอดทั้งกระบวนการจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาและการดูแลเพื่อความปลอดภัย โดยบุคลากรทางการแพทย์
ทว่าด้วยปัญหาข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการ รวมถึงค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมา คนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมากมักเรียนรู้และทดลองกระบวนการข้ามเพศกันเอง ผ่านเพื่อนฝูงและรุ่นพี่แบบปากต่อปากหรือผ่านการศึกษาจากช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ มีการซื้อฮอร์โมนจากแหล่งต่าง ๆ ที่อาจไม่ได้รับคำแนะนำด้านการใช้อย่างปลอดภัย นำไปสู่การวิถีปฏิบัติในการใช้ยาหรือฮอร์โมนที่มีความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากขาดการให้คำปรึกษาและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ถูกต้อง
จากการสำรวจโดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า มีชายข้ามเพศ 70% และหญิงข้ามเพศถึง 82% ที่ใช้ฮอร์โมนโดยไม่อยู่ในการดูแลของแพทย์ บางรายใช้เกินขนาด และเสี่ยงเป็นโรคนิ่ว ตับ ไต หัวใจ หลอดเลือด มะเร็ง และโรคกระดูกพรุน
ชายข้ามเพศที่ได้รับฮอร์โมนเพศชายในปริมาณมากเกินไปอาจเผชิญปัญหาภาวะเลือดข้นและความดันโลหิตสูง ขณะที่หญิงข้ามเพศจำนวนไม่น้อยใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อเร่งผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทางสรีระ ซึ่งไม่เป็นไปตามคำแนะนำในการใช้ฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพตามแนวทางการแพทย์ในปัจจุบันและยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดอุดตันมากกว่าคนที่ไม่ใช้ฮอร์โมนถึง 20 เท่า
สปสช. เห็นชอบบริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ
ที่ผ่านมา มีการขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อให้รัฐมองเห็นปัญหาและความสำคัญในประเด็นนี้มาอย่างยาวนานกว่าสิบปี จนมีการศึกษาทางวิชาการถึงความจำเป็นในการสร้างการเข้าถึงบริการนี้ผ่านกระบวนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ บวกกับมีนโยบายจากรัฐบาลในสมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จึงเกิดการพัฒนามาเป็นนโยบายชุดสิทธิประโยชน์บริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อให้ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการยืนยันเพศสภาพสามารถเข้าถึงบริการที่ปลอดภัย ถูกต้องตามองค์ความรู้ปัจจุบันและอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด
โดยขณะนี้ สปสช. ได้เปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและคำแนะนำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประมวลผลความคิดเห็น ซึ่งมีหลักการดังนี้
- หน่วยบริการที่มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และสามารถให้บริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ
- เป็นการให้บริการแก่ผู้รับบริการ ที่มีความจำเป็นต้องได้รับบริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ
- สำนักงานจะจ่ายค่าใช้จ่ายตามรายการและอัตรา ดังต่อไปนี้
-
- การให้บริการให้คำปรึกษาและการดูแลสุขภาพองค์รวมทั้งก่อนและหลังเริ่มฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ รวมในค่าบริการเหมาจ่ายรายหัว กรณีหน่วยบริการที่ไม่ได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับบริการพื้นฐาน (PP-Capitation) การจ่ายให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีการจ่ายตามรายการบริการ
- สำหรับยาและฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ สำนักงานจะจัดหาผ่านเครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์ โดยการจ่ายยาและฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพเป็นไปตามคู่มือการเบิกจ่ายการให้บริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพในบุคคลข้ามเพศและเพศหลากหลาย
การบริการฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพโดยภาครัฐ
การใช้ชีวิตและแสดงออกตามเพศสภาพที่ต้องการ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ดังนั้นไม่ควรมีใครต้องเจ็บป่วยจากยืนยันเพศสภาพของตนเอง สปสช.จึงมีมติบริการยาฮอร์โมน ให้ประชาชนมีเพศสภาพตามความต้องการได้
เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้บรรจุ “ภาวะการมีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด” ใน ICD-11 หรือ “บัญชีจําแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ฉบับที่ 11” ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะทางเพศ เพื่อส่งเสริมการเคารพสิทธิคนที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงคนข้ามเพศ ซึ่งช่วยให้คนข้ามเพศเข้าถึงกระบวนการทางการแพทย์เพื่อยืนยันเพศสภาพ และการดูแลสุขภาพองค์รวม รวมถึงลดอคติ การเหยียดเพศ และเกิดการยอมรับของคนในสังคมเพิ่มขึ้น โดยสมาชิกองค์การอนามัยโลก 194 ประเทศ ลงนามรับรอง ICD-11 พร้อมนำมาเป็นแนวทางในการปรับใช้ เพื่อดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุข
ดังนั้น การจัดบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นทางด้านสาธารณสุข โดยในปี 2559 ฝรั่งเศส ได้ออกกฎหมาย อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพได้ในโรงพยาบาลรัฐ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณผ่านระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยืนยันเพศสภาพที่ปลอดภัย รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมด้านการให้บริการสุขภาพในการยืนยันเพศสภาพแก่สหสาขาวิชาชีพเพื่อผลิตบุคลากรสาธารณสุขในการให้บริการที่ปลอดภัย
สำหรับประเทศไทย การให้บริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพยังไม่ถูกจัดอยู่ในระบบการให้บริการสาธารณสุขของภาครัฐ และมีสถานบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพ (ไม่รวมสถานบริการเอกชน) เพียง ประมาณ 40 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการให้คำปรึกษา ตรวจสุขภาพและระดับฮอร์โมน บางแห่งสามารถบริการผ่าตัดเพื่อการยืนยันเพศสภาพ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่
- กลุ่มที่ 1 คลินิกในโรงเรียนแพทย์ 8 แห่ง เช่น GenV Clinic รพ. รามาธิบดี, คลินิกสุขภาพเพศ รพ.จุฬาฯ, และ Si-PRIDE Clinic รพ. ศิริราช
- กลุ่มที่ 2 คลินิกในสังกัด กทม. 21 แห่ง ภายใต้โครงการ BKK Pride Clinic เช่น ที่โรงพยาบาลกลาง, Love Care Clinic, โรงพยาบาลตากสิน และศูนย์บริการสารารณสุขอีกหลายแห่ง
- กลุ่มที่ 3 คลินิกสุขภาพชุมชน 11 แห่ง เช่นคลินิกสุขภาพ SWING, สมาคมฟ้าสีรุ้ง, มูลนิธิเอ็มพลัส, มูลนิธิแคร์แมท, มูลนิธิซิสเตอร์ และคลินิกแทนเจอรีน โดยสถาบันเพื่อการวิจัยและนัตกรรมด้านเอชไอวี
อย่างไรก็ตาม สถานบริการส่วนใหญ่มีอยู่เพียงในเมืองใหญ่ เท่ากับว่าบริการเพื่อการยืนยันเพศสภาพยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ของทุกจังหวัดในประเทศไทย นโยบายฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพของ สปสช. จึงเป็นการขยายการบริการให้ครอบคลุมไปทั่วประเทศมากขึ้น
การเบิกจ่ายค่าบริการสำหรับผู้ให้บริการภาคประชาชน
ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 กำหนดให้ สปสช. สามารถขึ้นทะเบียน “หน่วยบริการอื่น” เช่น องค์กรภาคประชาชน องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานต่างๆ ที่ไม่ใช่สถานบริการสาธารณสุขหลัก ให้เข้าร่วมให้บริการเฉพาะด้านได้
ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยายการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมและเข้าถึงได้มากขึ้น ทำให้คลินิกชุมชน หรือ กลุ่มผู้ให้บริการชุมชน (Community-based Organization) สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดบริการสุขภาพ ที่สอดคล้องกับชุดสิทธิประโยชน์และสามารถเบิกจ่ายค่าบริการจากทาง สปสช. ได้
กฤติมา สมิทธิ์พล จากหน่วยวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวกับ Policy Watch ว่า
นโยบายฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพของ สปสช. ถือเป็นนโยบายแรกที่ภาครัฐรับรองสิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศ มองเห็นคนข้ามเพศอย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐในการจัดบริการสุขภาพที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม
สปสช. พยายามจะให้มีการเริ่มใช้นโยบายนี้เร็วที่สุด น่าจะเป็นภายในปี 2568 นี้ ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมความพร้อมเรื่องรายการบริการ และการจัดซื้อยาต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมขั้นตอนในการเปิดการขึ้นทะเบียน มาตรา 3 สำหรับองค์กรชุมชนที่ให้บริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพอยู่แล้ว โดยถ้าหากคลินิกชุมชนเหล่านี้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 3 เรียบร้อยก็จะสามารถเบิกจ่ายค่าบริการจากทาง สปสช. ได้ ซึ่งปัจจุบันคลินิกชุมชนเป็นหนึ่งในสถานบริการที่ได้รับความนิยมในการเข้าใช้บริการจากชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ในช่วงปีแรกของการเริ่มใช้นโยบาย เข้าใจว่าทาง สปสช. จะให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการที่เป็นองค์กรคลินิกชุมชนและคลินิกในโรงเรียนแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถือเป็นจุดที่มีการเปิดให้บริการอยู่แล้ว ระหว่างนี้คงมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพสถานบริการอื่น ๆ โดยเฉพาะหน่วยบริการสุขภาพของรัฐที่ทำงานอยู่ภายใต้ สปสช. เช่น โรงพยาบาลประจำจังหวัด หรือโรงพยาบาลประจำอำเภอ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมและประชาชนเข้าถึงได้ ซึ่งหากขาดการสร้างเสริมศักยภาพของหน่วยบริการต่าง ๆ เพื่อขยายบริการ แม้จะมีการนำนโยบายออกประกาศใช้แล้ว ปัญหาก็จะกลับไปที่จุดเดิมคือ ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการ
เตรียมความพร้อมก่อนบริการฮอร์โมน
รีน่า จันทร์อำนวยสุข ผู้จัดการโครงการคลินิกแทนเจอรีน ซึ่งเป็นคลินิกสุขภาพชุมชนคนข้ามเพศที่เปิดให้บริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาค โดยสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)และผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงการดำเนินการสวัสดิการฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพกับทาง Policy Watch ว่า เป็นอีกการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนโดย สปสช. ที่น่าชื่นชม ตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ สปสช. ได้เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการให้ข้อมูลการพัฒนาระบบบริการต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ชุดบริการสุขภาพคนข้ามเพศควรจะต้องเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะ สปสช. ยังติดที่ระบบการเบิกจ่าย การบันทึกเบิกในระบบ e-Claim เกณฑ์วิธีการจัดซื้อยาฮอร์โมน
อันที่จริงแล้ว ยาฮอร์โมนมีอยู่แล้วในสปสช. ในชุดบริการสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเรื่องฮอร์โมน เช่น ภาวะวัยทอง ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุหรือป่วยทำให้ต้องพึ่งฮอร์โมนทดแทน หรือเด็กที่เกิดมามีปัญหาด้านพัฒนาการ จำเป็นต้องรับฮอร์โมนทดแทน
แต่ฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้เพื่อกรณีข้ามเพศ ซึ่งมีหลายฮอร์โมนใช้สำหรับข้ามเพศได้ ในการบริการข้ามเพศจึงสามารถแก้ไขข้อกำหนดที่ข้อบ่งชี้ในการบริการ จากฮอร์โมนทดแทน โดยเพิ่มเพื่อกรณีข้ามเพศด้วย แต่ก็มีบางฮอร์โมนที่ทาง สปสช. ต้องเพิ่มเพื่อคนข้ามเพศ
สำหรับการตรวจวัดติดตามผลการรับฮอร์โมนข้ามเพศ อาจมีข้อแตกต่างจากผู้รับฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง ที่แพทย์ด้านสูตินรีแพทย์หรือแพทย์ต่อมไร้ท่อเป็นผู้ติดตามดูแล หากแต่สำหรับคนข้ามเพทย์จะเกี่ยวข้องทั้งสูตินรีแพทย์ แพทย์ต่อมไร้ท่อ อายุรศาสตร์ จิตเวชศาสตร์ เวชศาสตร์ครอบครัว และแพทย์ด้านอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์ ซึ่งกล่าวได้ว่าการข้ามเพศจะสลายองค์ความรู้ทางการแพทย์ เพื่อให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น
ในระหว่างที่ สปสช. กำลังดำเนินการอยู่นั้น รีน่า จันทร์อำนวยสุข เสนอว่า แต่ละโรงพยาบาลสามารถเตรียมความพร้อมในการบริการ ด้วยการฝึกอบรม เสริมสร้างความใจเกี่ยวกับการบริการคนข้ามเพศ เพราะเจ้าหน้าที่บุคลากรเองอาจจะยังไม่เข้าใจมิติคนข้ามเพศ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลต่าง ๆ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือคลินิกชุมชน ทำความเข้าใจ สร้างระบบและสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับความหลากหลายทางเพศ ปราศจากการตีตราเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จำนวนผู้ไปบริการที่คลินิกชุมชนมากกว่าโรงพยาบาล เพราะรู้สึกอุ่นใจกว่า เป็นมิตรกว่า
ในเรื่องชุดความรู้ในการให้บริการ ทางศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพคนข้ามเพศ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ออก “คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศ” เพื่อใช้เป็นหลักและอ้างอิงในการให้บริการแล้ว
นอกจากนี้ การขาดองค์ความรู้ในการให้บริการสุขภาพแก่คนข้ามเพศ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนข้ามเพศไม่ได้รับฮอร์โมนอย่างถูกต้อง จากผลการวิจัยเรื่อง “การเคารพต่อสาวประเภทสองโดยเปรียบเทียบกับการเกลียดกลัวคนข้ามเพศในทั่วโลก” โดยมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และองค์กร Transgender Europe (TGEU) ในปี 2558 พบว่าคนข้ามเพศในประเทศไทยเกือบ 50% ไม่เคยพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาเรื่องสุขภาพ รวมไปถึงการข้ามเพศอย่างถูกต้องภายใต้การดูแลโดยบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเหตุผลไม่เกี่ยวกับรายได้หรือเกิดกับผู้มีรายได้น้อยเสมอไป แต่เนื่องจากที่ผ่านมา คนข้ามเพศเคยมีประสบการณ์เชิงลบ ในการทางถูกตีตราและเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ เมื่อไปเข้ารับบริการในสถานพยาบาล
ข้อโต้แย้งและข้อหักล้างสวัสดิการฮอร์โมนข้ามเพศ
อย่างไรก็ตาม สวัสดิการบริการสุขภาพนี้ ยังคงถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มบุคคลเฉพาะกลุ่มมากกว่าประชาชนทั้งประเทศ หากแท้ที่จริงแล้ว การบริการนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่รัฐพึงดูแลให้มีการเข้าถึงอย่างปลอดภัย ในลักษณะเดียวกับการคุมกำเนิด การคลอดบุตร และการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งรัฐมีพันธกิจในการดูแลไม่ให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและไม่ปลอดภัย
เมื่อพิจารณาถึงที่มาของนโยบายนี้ กฤติมา สมิทธิ์พล กล่าวว่า
“นโยบายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ หรือเกิดจากการตัดสินใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว แต่มันผ่านกระบวนการการขับเคลื่อนทางสังคมมาอย่างยาวนาน มีการจัดบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพโดยองค์กรชุมชนที่ขยายจากหนึ่งแห่งไปเป็นสิบกว่าแห่งทั่วประเทศ มีการเปิดบริการนี้ในคลินิกของโรงเรียนแพทย์ ซึ่งปัจจุบันมีเกือบทุกแห่งในประเทศ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการสาธิตความเป็นไปได้ในการจัดบริการว่ามีความต้องการเข้าถึงสุขภาพในประเด็นนี้และสามารถเปิดให้บริการได้จริง”
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความจำเป็นและจัดลำดับความสำคัญของบริการนี้ผ่านกระบวนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ มีการศึกษางานบริการสุขภาพในประเด็นนี้จากต่างประเทศ ประกอบกับมีการวิจัยเพื่อศึกษาการเข้าถึงบริการนี้อย่างครอบคลุมโดยความร่วมมือระหว่างหน่วยวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งผลการศึกษาวิจัยทั้งหมดต้องผ่านการเห็นชอบจากบอร์ด สปสช
หลัก ๆ คือบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพเป็นบริการที่มีความสำคัญและในทางการแพทย์มีความจำเป็นต่อประชาชนที่ต้องการเข้าถึง การจัดบริการในการดูแลสุขภาพนี้ประเด็นนี้เป็นการป้องกันความเสี่ยงในการเกิดการอันตรายจากการใช้ยาที่ไม่ปลอดภัย ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล สังคมและเศรษฐกิจมากกว่าการป้องกัน การไม่ลงทุนในการให้การบริการเชิงป้องกัน จึงอาจส่งผลต่อการสูญเสียงบประมาณที่มากกว่าในการดูแลรักษา
มากไปกว่านั้น บริการนี้ไม่ใช่การลงทุนใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายในการเข้าถึงบริการฮอร์โมนจากเดิมที่เคยครอบคลุมเฉพาะในกลุ่มชายหญิงที่ต้องการฮอร์โมนทดแทนให้ครอบคลุมกลุ่มบริการสุขภาพเพื่อการยืนยันเพศสภาพ งบประมาณที่ต้องจัดสรรเพิ่มมีเพียง ค่าบริการตรวจสุขภาพ การตรวจแล็บ ยาฮอร์โมนบางชนิด การฝึกหัดอบรม สร้างความรู้ความเข้าใจ ซึ่งปัจจุบันก็มีองค์ความรู้ต่าง ๆ อยู่ค่อนข้างพร้อมแล้ว ตัวสถานที่ก็สามารถใช้สถานที่ที่มีอยู่แล้วได้เลย
อย่างไรก็ตาม หลายคนเข้าใจว่า การเป็นคนข้ามเพศเป็นเรื่องของการ “เลือก” หรือเป็น “ความต้องการส่วนตัว” ทำไมรัฐต้องไปดูแล ซึ่ง กฤติมา ย้ำว่ากระบวนการนี้เป็นความจำเป็นทางการแพทย์ที่เลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการต้องมีการดูแลและคำนึงถึงความปลอดภัย ดังนั้นการที่รัฐจัดให้มีบริการนี้ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ ไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษ แต่เป็นความจำเป็นในการดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
หลังจากเริ่มใช้นโยบายนี้ เราจะได้ข้อมูลทางสุขภาพที่เป็นประโยชน์ในการออกแบบและพัฒนานโยบายสุขภาพต่อไป เช่นตัวเลขสถิติของคนข้ามเพศที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะชายข้ามเพศที่ขาดหายไปในระบบการจัดเก็บข้อมูล
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สิทธิ์ยาข้ามเพศ “บัตรทอง” ก้าวสำคัญที่ต้องจับตา
- “บัตรทอง” ไม่ล้ม แต่ วิกฤต ต้องรื้อระบบงบประมาณ
- ต้องรื้อใหญ่ระบบงบประมาณ ทางออกอย่างยั่งยืนบัตรทอง