ThaiPBS Logo

Longevity สุขภาพยั่งยืน ความท้าทายสังคมสูงวัย

20 ก.ย. 256810:22 น.
Longevity สุขภาพยั่งยืน ความท้าทายสังคมสูงวัย
  • ความปรารถนาจะมีอายุยืนและสุขภาพดี ถูกตลาดทุนนิยมสร้างเป็นสินค้าและบริการราคาแพง ทำให้สุขภาพกลายเป็นตัวชี้วัดสถานะทางสังคม และเพิ่มแรงกดดันให้คนต้องแข่งขันเพื่อรักษาสุขภาพให้ “ดีขึ้นเสมอ” (นิ้วกลม, ดร.สันติธาร)
  • ระบบปัจจุบันผลักภาระให้ปัจเจกจัดการสุขภาพด้วยตัวเอง ทำให้ผู้มีทรัพยากรสามารถเข้าถึงสุขภาพที่เหนือกว่ากลุ่มคนทั่วไป ช่องว่างระหว่างผู้ที่ “เอื้อมถึง” กับผู้ที่ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ขยายมากขึ้น (รศ.ดร.นพ.บวรศม)
  • การพัฒนาสุขภาพควรเน้นมาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ การควบคุมอาหาร การลดมลพิษ และการลงทุนเชิงป้องกันตลอดชีวิต แทนการหวังพึ่งการปรับพฤติกรรมของบุคคลเพียงอย่างเดียว
กระแส Longevity หรือการสร้าง สุขภาพยั่งยืน กำลังถูกตั้งคำถามกับนโยบายสาธารณสุข ถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่การสร้างสุขภาพดี เป็นเรื่องส่วนตัวที่คนที่มีรายได้เพียงพอจึงจะสามารถสร้างได้ แต่จะทำให้เป็นนโยบายสาธารณะได้อย่างไรในการสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนในยุคสังคมผู้สูงวัย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงได้

เมื่อ ‘การอายุยืน’ กลายเป็นสนามใหม่แห่งความเหลื่อมล้ำและความกดดันทางสังคม ข้อความหนึ่งของ “นิ้วกลม” (สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์) นักเขียนและนักคิดชื่อดัง ที่โพสต์ลงในโลกโซเชียล ได้จุดประกายการถกเถียงที่ลึกซึ้งเกินกว่าความอยากอายุยืนทั่วไป เขาเขียนถึงเทรนด์ Longevity” * หรือความปรารถนาที่จะมีอายุยืนและเยาว์วัย

ด้วยเครื่องหมายคำถามใหญ่ “ทุกวันนี้สุขภาพดี เริ่มเป็นภาระของชีวิตแล้ว” ประโยคสั้นๆ นี้สะท้อนความรู้สึกของคนเมืองจำนวนมาก

นิ้วกลมไม่ได้ตั้งคำถามกับการอยากมีสุขภาพดี แต่เขาตั้งคำถามกับ “ระบบ” ที่อยู่เบื้องหลัง ระบบทุนนิยมที่แปลงสุขภาพให้เป็นสินค้า, ความกดดันทางสังคมที่ทำให้สุขภาพกลายเป็นสถานะ, และความเหลื่อมล้ำที่ขยายช่องว่างระหว่างผู้ที่ “เอื้อมถึง” กับผู้ที่ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” จนในที่สุด “สุขภาพดี” ที่ควรเป็นเรื่องพื้นฐานกลับกลายเป็น “ความหรูหราและภาระ” ไปเสียได้

Thai PBS Policy Watch ชวนมองไปกว่าคำแนะนำการกินนอนออกกำลังกายทั่วไป แต่จะสำรวจภูมิทัศน์ (Landscape) ของ Longevity ในสังคมไทย ผ่านมุมมองทางสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายสาธารณะ ว่าเรากำลังเดินไปทางไหน และนโยบายสุขภาพของไทยควรตอบโจทย์ความท้าทายใหม่นี้อย่างไร

ความปรารถนาส่วนตัว สู่ความกดดันทางสังคม

นิ้วกลมได้วาดภาพไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสรุปเป็นแกนกลางได้ดังนี้

  • Longevity ในยุคทุนนิยม: สินค้าใหม่สำหรับคนยุคใหม่ ทุนนิยมต้องการให้เราซื้ออะไรเสมอ และสินค้าล่าสุดที่ถูกนำมาขายก็คือ “สุขภาพ ความเยาว์ และการตายช้า” การแสวงหาความอมตะไม่ใช่เรื่องใหม่ (ดังเรื่องราวของจิ๋นซีฮ่องเต้) แต่ในยุคนี้มันถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านผลิตภัณฑ์และบริการมากมาย ตั้งแต่คลาสโยคะ น้ำแข็งอาบ ไปจนถึงการฉีดสารต่างๆ ซึ่งมักถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มเศรษฐีที่มีทั้งเงินและเวลา
  • เศรษฐศาสตร์ของการยืดอายุ คำตอบของประเทศพัฒนาแล้ว?  :  หนึ่งในเหตุผลเชิงโครงสร้างคือ หลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง การรักษาคนไว้ในระบบเศรษฐกิจให้นานขึ้นจึงเป็นคำตอบทางเศรษฐกิจ การ “ชวนคนยืดอายุ” จึงไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์สุขภาพ แต่ยังเป็นนโยบายเศรษฐกิจอย่างหนึ่งของชาติพัฒนาแล้ว เพื่อหาเงินจากประชากรกลุ่มเดิมให้ได้มากที่สุด
  • การยืดอายุที่กลายเป็น “ภาระ”: การจะมีสุขภาพดีตามมาตรฐานใหม่นี้ต้องใช้ทั้งเวลาและเงินมหาศาล มันกลายเป็น “รายจ่าย” ส่วนตัวที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง การเข้ายิม การกินอาหารคลีน การใช้เทคโนโลยีต่างๆ ล้วนเป็นต้นทุนที่สูง ซึ่งแม้จะเป็นการลงทุนที่ดีต่อตัวบุคคล แต่กำลังถูกทำให้เป็น “สูตรสำเร็จ” (One-size-fits-all) ที่ไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดที่แตกต่างกันของแต่ละคน
  • ความเหลื่อมล้ำที่ซ้อนทับ: เมื่อสุขภาพกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ นี่คือประเด็นสำคัญ การที่กลุ่มหนึ่งสามารถ “ขยับเพดาน” สุขภาพของตัวเองได้ด้วยเงิน ก็เป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ให้กลุ่มที่เหลือต้องพยายาม “เขย่ง” ตามให้ทัน การแข่งขันจึงไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรือรถยนต์อีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันว่า “ใครอ่อนวัยกว่า ใครแข็งแรงกว่า ใครมี VO2MAX** สูงกว่า” สุขภาพที่วัดผลด้วยตัวเลขได้กลายเป็น “ตัวชี้วัดสถานะ” (Status Indicator) ใหม่ที่จับต้องได้และอวดกันได้
  • สุขภาพดี จากเรื่องภายใน สู่ของโชว์: เมื่อสุขภาพวัดผลได้ด้วยตัวเลข มันจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ของโชว์” เช่นเดียวกับนาฬิกาหรือกระเป๋าแบรนด์เนม มันไม่เพียงแสดงถึงความร่ำรวย แต่ยังแสดงถึงวินัย ความพยายาม และ “ประสิทธิภาพ” ในการใช้ชีวิตของเจ้าของ ซึ่งสร้างความกดดันและความรู้สึก “ไม่เคยดีพอ” ให้กับคนจำนวนมาก
  • โลกสองใบ ซูเปอร์ฮีโร่ Longevity กับมนุษย์ปุถุชน: นิ้วกลมเปรียบเทียบภาพนี้ได้อย่างคมชัด โลก Longevity เป็นจักรวาลที่ซูเปอร์ฮีโร่เล่นกันด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ในขณะที่มนุษย์โลกทั่วไปยังต้อง “เดินดม PM2.5 สูดมลพิษบนถนนรถติด ซื้อของทอดกลับไปกินที่บ้านกันต่อไป” ช่องว่างนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสุขภาพไม่ได้ถูกทำให้เป็น “นโยบายสาธารณะ” ที่ทุกคนเข้าถึงได้เท่าเทียม แต่ถูกทิ้งให้เป็น “เรื่องส่วนตัว” ที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบเอง

โจทย์ใหญ่ที่เกินกว่าการใช้ชีวิตของปัจเจก

กระแสของนิ้วกลมสะท้อนไปถึงผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและสาธารณสุข ซึ่งต่างชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็น “อาการ” ของปัญหาที่ใหญ่กว่าซึ่งฝังรากลึกอยู่ในระบบ

ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย, ที่ปรึกษาด้าน Future Economy ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เชื่อมโยง Longevity กับประเด็นร้อนอื่นๆ ดร.สันติธาร ชี้ให้เห็นว่า การถกเถียงเรื่อง Longevity, ชนชั้นกลางที่ถูกบีบ, และการส่งลูกเรียนอินเตอร์ ล้วนเป็น “เส้นเชื่อม” เดียวกัน นั่นคือ

  • แรงกดดันให้ต้อง “ดีขึ้น” เสมอ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ว่า “ถ้าไม่ดีขึ้น เดี๋ยวจะตามไม่ทัน”
  • ความไม่มั่นใจในระบบพื้นฐาน ของรัฐ ทั้งการศึกษา สาธารณสุข และเศรษฐกิจ ว่าสามารถสร้างความมั่นคงให้ได้จริงหรือไม่
  • สุขภาพและการศึกษากลายเป็น “สินค้าหรู” ที่ต้องซื้อหาด้วยเงินของตัวเอง

เขาชี้ว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องปัจเจก แต่เป็นสัญญาณว่าสังคมกำลังผลักให้ปัจเจกต้อง “แก้ปัญหาด้วยตัวเองมากเกินไป” ในเรื่องที่ควรเป็น “สิทธิพื้นฐาน” คำถามที่ตามมาคือ แล้วรัฐควรทำอะไรเพื่อไม่ให้สุขภาพและการศึกษากลายเป็นสินค้าหรู?

ด้าน รศ.ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน และนักวิจัยระบบสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ของนิ้วกลม ชี้ให้เห็นถึงหัวใจของปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมา นั่นคือ การล้มเหลวของระบบสาธารณสุข ที่ปล่อยให้สุขภาพกลายเป็นเรื่องของปัจเจก (Private Health) แทนที่จะเป็นเรื่องสาธารณะ (Public Health)

เขายกตัวอย่างนโยบาย “การนับคาร์บ” ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแม้อาจมีประโยชน์ แต่ก็ยังเป็นนโยบายที่ “เน้นการปรับพฤติกรรมเฉพาะบุคคล” เป็นหลัก ในขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญกว่ากลับไม่ถูกแก้ไข เช่น

  • ราคาอาหารสุขภาพที่คนเข้าถึงได้จริง
  • เวลาทำงานที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย
  • พื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยและทั่วถึง
  • คุณภาพสิ่งแวดล้อม (อากาศดี, น้ำดี)

อาจารย์บวรศมย้ำว่า หลักฐานวิชาการทั่วโลกชี้ชัดว่า การพัฒนาสุขภาพประชากรต้องอาศัย “มาตรการเชิงนโยบายและโครงสร้าง” เช่น การควบคุมน้ำตาล/เกลือในอุตสาหกรรมอาหาร, การจัดการมลพิษ มากกว่าการหวังพึ่งการตัดสินใจที่ “ถูกต้อง” ของปัจเจกเพียงอย่างเดียว การผลักภาระให้ปัจเจกไม่เพียงซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ แต่ยัง “ละเลยเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ” ที่เป็นตัวกำหนดสุขภาพที่แท้จริง

รัฐไทยกับแนวทาง “สาธารณสุข” ที่แท้จริง

คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 72 ปีในปี 2543 เป็นเกือบ 78 ปีในปี 2568 แต่ปัญหาคือ ช่องว่างระหว่าง Life Expectancy และ Healthspan ยังคงกว้างอยู่มาก

  • คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น แต่ สุขภาพที่ดีจริงๆ อยู่เพียงราว 66–67 ปี
  • นั่นหมายความว่า 10 ปีสุดท้ายของชีวิตจำนวนมากต้องอยู่กับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือแม้แต่ภาวะสมองเสื่อม

คำถามใหญ่คือ เราจะยืดช่วงชีวิตที่แข็งแรงได้อย่างไร ไม่ใช่เพียงอยู่รอดในทางชีวภาพ

ขณะที่ ระบบสาธารณสุขไทยประสบความสำเร็จในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค การคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า หรือการพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพ แต่ความท้าทายใหม่คือการ ปรับมุมมองจาก “การรักษาเมื่อเจ็บป่วย” สู่ “การลงทุนเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพตลอดชีวิต”

  • การส่งเสริม สุขภาพเชิงรุก ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยทำงาน จะช่วยลดภาระโรคเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
  • การพัฒนา แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านสุขภาพ เช่น ระบบฝากครรภ์ดิจิทัล สมุดสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ หรือแอปติดตามสุขภาพผู้สูงวัย
  • การบูรณาการ การแพทย์ปฐมภูมิ–ชุมชน–โรงพยาบาล ให้มีความต่อเนื่อง ไม่ขาดตอน

Longevity จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีตัดต่อยีนหรือยาใหม่ราคาแพง แต่คือการสร้าง ระบบสุขภาพที่ป้องกันโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

แล้วนโยบายของไทยตอบโจทย์นี้อย่างไร? ข้อเสนอจาก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อ Longevity นั้น น่าสนใจและสอดคล้องกับคำวิจารณ์ข้างต้น

สช. เสนอไอเดีย “คนละครึ่งฟิตเนส” และมาตรการเชิงนโยบาย สช. ไม่ได้หยุดอยู่ที่การรณรงค์ให้ประชาชนออกกำลังกายเท่านั้น แต่เสนอมาตรการที่ลงไปเปลี่ยนแปลง “สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคม” ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างโดยตรง ผ่าน

  • มาตรการเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม: เช่น โครงการ “คนละครึ่งฟิตเนส” ที่รัฐร่วมจ่ายค่าสมัคร เพื่อลดต้นทุนและสร้างแรงจูงใจ
  • กลไกการคลัง: เช่น การใช้กลไกภาษีที่ดินกระตุ้นให้เอกชนนำที่ดินรกร้างมาทำเป็น “สวนสาธารณะ 15 นาที”
  • เครดิตทางสังคม: เช่น โครงการ “Calories Credit Challenge” (CCC) ให้ประชาชนสะสมแคลอรีจากการออกกำลังเพื่อแลกรางวัล

นอกจากนี้ ยังมี มาตรการหลัก ที่ครอบคลุมทั้งการลดการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ, ส่งเสริมสินค้าดีต่อสุขภาพ, และที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ”

ข้อเสนอของ สช. นั้นก้าวหน้าและสอดคล้องกับหลักสาธารณสุข (Public Health) อย่างยิ่ง แต่ก็ท้าทายไม่น้อย เพราะนโยบายเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ใช่แค่ กระทรวงสาธารณสุข แต่รวมถึง กระทรวงมหาดไทย (ท้องถิ่น), กระทรวงการคลัง, และกรุงเทพมหานคร ซึ่งมักมีแนวทางและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

งบประมาณ อย่างแนวคิดเช่น “คนละครึ่งฟิตเนส” ต้องการงบประมาณสนับสนุนจำนวนไม่น้อย ซึ่งต้องแข่งขันกับความต้องการงบประมาณอื่นๆ ของประเทศ รวมถึง การเปลี่ยนจากนโยบายที่เน้น “การรณรงค์” มาเป็นนโยบายที่เน้น “การเปลี่ยนโครงสร้าง” ต้องการ mindset การทำงานที่แตกต่างและอาจพบกับการต่อต้านจากบางกลุ่ม

การอภิปรายเรื่อง Longevity ในสังคมไทยได้เปิดโปงความขัดแย้งพื้นฐานระหว่าง “ปัจเจกสุข” (Private Health) กับ “สาธารณสุข” (Public Health)

ในด้านหนึ่ง ระบบทุนนิยมและโซเชียลมีเดียได้ส่งเสริมให้สุขภาพเป็น “โครงการส่วนตัว” ที่แต่ละคนลงทุน แข่งขัน และแสดงออก แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็สร้างความกดดัน ความวิตกกังวล และที่ร้ายแรงที่สุดคือ “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างผู้มีทรัพยากรและผู้ที่ไม่มี

ดังที่นิ้วกลม, ดร.สันติธาร, และ รศ.ดร.นพ.บวรศม ชี้ให้เห็น ทางออกที่ยั่งยืนไม่ใช่การบอกให้ปิดตาใส่ใจแค่ตัวเอง แต่คือการกลับไปทบทวนบทบาทของ “รัฐ” ในการสร้าง “ระบบนิเวศน์แห่งสุขภาพ” (Health Ecosystem) ที่เอื้อให้ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกระดับรายได้ สามารถมีสุขภาพดีได้โดยไม่ “เขย่ง” จนเกินกำลัง

หมายเหตุ 

*Longevity คือ “อายุวัฒนะ” ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีชีวิตที่ยืนยาว (Lifespan) เท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงการมี “สุขภาพที่ยืนยาว” (Healthspan) ด้วย เพราะหากเราอายุยืนแต่สุขภาพย่ำแย่ ก็อาจไม่ใช่ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง

Longevity ที่แท้จริง จึงต้องเป็นการมีทั้ง Lifespan และ Healthspan ควบคู่กันไป นั่นคือ การมีอายุยืนยาว พร้อมสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ในทุกช่วงเวลา

Longevity  มาพร้อมแนวคิด “Health is the New Wealth” ในอดีต ความมั่งคั่งอาจถูกวัดด้วยทรัพย์สิน แบรนด์เนม หรือข้าวของราคาแพง แต่ในอนาคต ความมั่งคั่งรูปแบบใหม่จะไม่ใช่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป หากแต่คือ “สุขภาพ” โดยเราจะไม่อวดความร่ำรวยด้วยกระเป๋าหรู แต่จะอวดด้วยผลเลือดที่ดี ตัวเลขสุขภาพที่แข็งแรง หรือแม้แต่คุณภาพของการนอนหลับลึก (Deep Sleep) เพราะสุขภาพที่ดี คือทรัพย์สินที่แท้จริงของชีวิต

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต่างเห็นพ้องกันว่ามี 4 วิธีหลักที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที ได้แก่

  1. การกินที่ดี (Healthy Eating) เลือกอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ และเพิ่มผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย
  2. การออกกำลังกายที่เหมาะสมควรออกกำลังกายทั้งเพื่อหัวใจ (Cardio) เพื่อกล้ามเนื้อ (Strength Training) และเพื่อความยืดหยุ่น (Flexibility) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงรอบด้าน
  3. การนอนที่มีคุณภาพการนอนเป็น “การซ่อมแซมร่างกาย” ที่สำคัญที่สุด การนอนลึกและเพียงพอช่วยให้สมองและร่างกายฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์
  4. สุขภาพจิตที่ดีหากร่างกายแข็งแรงแต่จิตใจทุกข์ตรม ชีวิตก็ยังไม่สมบูรณ์ การดูแลสุขภาพจิต ความคิดบวก และความสุขภายในจึงเป็นรากฐานของการมีชีวิตที่ดี

**VO2MAX  คือค่าที่ใช้วัด ความสามารถสูงสุดในการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ขณะออกกำลังกายหนัก ๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความฟิตของหัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนเลือด

อ้างอิง

นิ้วกลม. ผมซุ่มมองเทรนด์ longevity​ หรือความอยากอายุยืนและเยาว์วัยด้วยเครื่องหมายคำถามอยู่ตลอด…  https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0ocN82xUEYfC8pHEvZsbmJDTuyxRpoByvimSWwWLuuzYkCUz8wsJYfhdBHrPoM8HNl&id=637784578

ดร.สันติธาร. การถกกันเรื่อง ชนชั้นกลาง,โรงเรียนอินเตอร์, และ Longevity สะท้อนอะไรบ้าง… https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02aSmRzgTsx9fz6SEnWT214NEopu3hS3mL2jXn9etTBCDEZ7CGor8kJnGLrD7LLnG4l&id=100063871053873

รศ.ดร.นพ.บวรศม. Public Health vs. Private Health สาธารณสุข vs. ปัจเจกสุข…  https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02wDgXux6SVaNPntB5guRqpj9sxtSvjpmQE9m8vwsNzG54DM2HctNbNpJ6LnaYYJMdl&id=516714071

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

 

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ระบบหลักประกันสุขภาพ

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค" ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต่อมาเรียกว่า "บัตรทอง" ซึ่งดำเนินการมาครบรอบ 20 ปีเมื่อปี 2566 และกำลังก้าวสู่ปีที่ 23 ในปี 2568 แต่ปัญหายังต้องแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการ แม้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: