คาร์บ (Carb) คือ อะไร?
คาร์บ (Carb) ย่อมาจาก Carbohydrate เมื่อมาใช้กับการรณรงค์ทางโภชนาการ หรือ ลดคาร์บ (Low Carb) หรือ มีชื่อเต็มๆว่า Low Carbohydrate Diet
การลดคาร์บ เป็นแนวทางการเลือก กินอาหารแบบลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต หรือลดอาหารประเภทแป้งทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง มันฝรั่ง ข้าว พาสต้า เค้ก ขนมต่างๆ ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะ ย่อยเป็นน้ำตาล เมื่อร่างกายใช้น้ำตาลเหล่านี้ไม่หมด ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเพื่อเก็บสะสมเกิด “ภาวะอ้วน”
หลักการของ Low Carb Diet คือการควบคุมระดับอินซูลินที่เกิดจากการกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต (แป้ง และน้ำตาล) ที่ถูกย่อยสลายและส่งเข้าสู่กระแสเลือด เรียกว่า น้ำตาลในเลือด หรือ กลูโคส และป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกาย โดยจำกัดให้ระดับน้ำตาลเพียงพอแค่ใช้เป็นพลังงานเท่าน้ำ เมื่อกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตลดลง ปริมาณอินซูลินก็จะต่ำ ทำให้ร่างกายจะต้องเผาผลาญไขมันสะสมมาเป็นพลังงาน เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง
การกินแบบ Low Carb จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ข้อมูลเพิ่มเติม: การกินแบบ Low Carb ข้อดีและข้อควรระวัง
NCDs ภัยเงียบที่รัฐเริ่มมองเห็น
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต โรคปอดเรื้อรัง รวมถึงโรคทางเดินอาหารบางประเภท ไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คน แต่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงสะสม เช่น การบริโภคอาหารไม่เหมาะสม การไม่ออกกำลังกาย ความเครียดเรื้อรัง และการสูบบุหรี่
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขสะท้อนว่ากลุ่มโรคเหล่านี้กำลังกลายเป็นภาระหลักของระบบบริการสาธารณสุขในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ภาครัฐจึงไม่อาจรอให้ผู้คนป่วยแล้วค่อยมารักษา เพราะภาระงบประมาณจะทวีคูณ การหันมาใช้แนวทาง “ป้องกันก่อนป่วย” จึงถูกยกขึ้นมาเป็นนโยบายเรือธง เพื่อหวังลดทั้งอัตราการป่วยและรายจ่ายด้านสาธารณสุขระยะยาว
ขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง ตั้งคลินิก NCDs รักษาหาย
- ผู้เข้ารับการอบรมพฤติกรรม 86,696 คน
- ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ NCDs 10,603 คน หรือ 12.2%
- หยุดยาได้ 6,297 คน หรือ 7.3%
- ลดยาลง 8,788 คน หรือ 10.01%
- รับยาเท่าเดิม 41,048 คน หรือ 47.3%
- รับยาเพิ่ม 1,823 คน หรือ 2.1%

ลดงบประมาณได้จริง แต่คุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่?
แม้ตัวเลขเรื่อง “การหยุดยา” และ “ลดยา” จะฟังดูน่าประทับใจ แต่หากมองในเชิงสาธารณสุข คำถามสำคัญคือ ผู้ป่วยเหล่านี้ “สุขภาพดีขึ้นจริงหรือไม่?” เพราะการหยุดยาสำหรับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือความดัน ต้องอาศัยการติดตามผลอย่างใกล้ชิด
หากไม่มีระบบติดตามที่มีคุณภาพ ผู้ป่วยอาจหยุดยาเองโดยไม่มีการประเมินภาวะสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในอนาคต โดยเฉพาะกับโรคที่ไม่มีอาการชัดเจนในช่วงต้น เช่น ความดันโลหิตสูง ที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองอย่างไม่คาดคิด
จึงเกิดคำถามตามมาว่า การวัดผลสำเร็จของนโยบายจากจำนวนคนที่หยุดยา เป็นตัวชี้วัดที่ “เพียงพอและถูกต้อง” หรือไม่?
สุขภาพหรือเศรษฐกิจ? เจตนารมณ์ที่ต้องแยกแยะ
นโยบาย “ลดคาร์บ ลดโรค” โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชูว่า เป็นทั้งการสร้างสุขภาพ และลดค่าใช้จ่ายให้ประเทศ แต่เมื่อฟังจากการชี้แจงจะเห็นได้ชัดว่า “ความประหยัด” กลายเป็นข้อความหลักที่ถูกนำเสนอซ้ำอย่างเด่นชัด เช่น
“ค่าใช้จ่ายที่ลดได้… เป็นเงิน 275.63 ล้านบาท/ปี… รวมเป็น 285 ล้านบาท/ปี”
ประโยคลักษณะนี้สะท้อนว่า แม้จุดประสงค์คือสุขภาพ แต่แรงจูงใจหลักของนโยบายอาจมุ่งไปที่ “การลดภาระงบประมาณ” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตประชาชนจริง ๆ
แน่นอนว่าการลดค่าใช้จ่าย คือเรื่องสำคัญในยุคที่ทรัพยากรจำกัด แต่หากเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจกลายเป็นเป้าหมายหลักจนบดบังเป้าหมายเชิงสุขภาพ อาจทำให้การดำเนินนโยบายผิดทิศ หรือประเมินผลอย่างบิดเบือน
ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์? คำตอบอยู่ที่ระบบ ไม่ใช่แค่หยุดยา
อีกหนึ่งข้อดีที่โฆษก สธ. ชี้แจงโดยชูเป็นอีกประเด็นสำคัญ คือ “เมื่อคนลดความเจ็บป่วย ภาระของแพทย์ก็ลดลง” ซึ่งฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบสาธารณสุขไทยเผชิญกับ “วิกฤตบุคลากร” มายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแพทย์ พยาบาล หรืองานที่ล้นมือในโรงพยาบาลระดับอำเภอและจังหวัด
คำถามก็คือ การหยุดยาเพียงอย่างเดียวจะช่วยลดงานแพทย์จริงหรือ? เพราะแพทย์ยังต้องติดตามภาวะสุขภาพของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และต้องเพิ่มเวลาให้กับการให้คำปรึกษาด้านพฤติกรรม ซึ่งใช้เวลามากกว่าการจ่ายยาเสียอีก
หากไม่มีการจัดสรรกำลังคนและงบประมาณเพื่อสนับสนุนด้านการติดตาม-ประเมินผลอย่างเหมาะสม นโยบายที่ตั้งใจลดภาระ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระงานรูปแบบใหม่โดยไม่รู้ตัว
ทางรอดของสาธารณสุข หรือภาพฝันทางนโยบาย?
ในภาพรวม นโยบาย “ลดคาร์บ ลดโรค” เป็นก้าวที่น่าสนใจในการปฏิรูประบบสาธารณสุขจาก “รักษาเมื่อเจ็บป่วย” ไปสู่ “สร้างสุขภาพก่อนป่วย” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลก
แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดยาเพียงอย่างเดียว สิ่งที่จำเป็นคือระบบติดตามสุขภาพระยะยาว การปรับโครงสร้างการทำงานของบุคลากร การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมโดยสมัครใจ ไม่ใช่เพียงจากการ “เข้าร่วมโครงการ”
ในท้ายที่สุด คำถามที่ควรตอบให้ได้ก่อนประกาศความสำเร็จคือ…
“สุขภาพคนไทยดีขึ้นจริงหรือยัง?”
ไม่ใช่แค่ “งบประมาณลดลงเท่าไร” เท่านั้น