ตามตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มีการกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะเพื่อให้รัฐบาลดำเนินนโยบายคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้มีการกำหนดโดยอิงจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) รายได้รัฐบาล เงินตราต่างประเทศ และหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศต่อมูลค่าการส่งออก
ที่ผ่านมา รัฐบาลมีการกู้เงินจนสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเกินกรอบกฎหมาย ทำให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มีการขยายสัดส่วนเพิ่มเป็น 70% ของจีดีพี จากเดิมที่ 60% โดยรัฐบาลมีการกู้เงินมาใช้จ่ายบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
แต่รัฐบาลต่อมายังมีการจัดสรรงบประมาณแบบ “ขาดดุล” เนื่องจากมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้ต้องกู้เงินมาใช้ในโครงการต่าง ๆ ทำให้หนี้สาธารณะขยับขึ้นต่อเนื่อง
ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อ 29 พ.ย. กระทรวงการคลังรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันที่ 30 ก.ย. 67 ระบุว่าสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณเกินกว่ากรอบอยู่ภายในสัดส่วนที่กําหนด ตามความในวรรคสองของมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
สัดส่วนหนี้สาธารณ ณ 30 ก.ย. 67
สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริง ณ 30 ก.ย. 67 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการฯกําหนด ยกเว้นสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณที่เกินกว่ากรอบเล็กน้อย โดยมีรายละเอียด พร้อมเหตุผล วิธีการ และระยะเวลาในการทําให้ สัดส่วนที่เกินกว่ากรอบอยู่ภายในสัดส่วนที่กําหนด (ตามความในวรรคสองของมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ. วินัยฯ) ดังนี้
เหตุผลที่สัดส่วนภาระหนี้เกินกว่ากรอบ
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันรัฐบาลยังคงต้องดําเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (การแพร่ระบาดฯ) อย่างต่อเนื่อง โดยหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณเพิ่มขึ้น 88% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ
ในการดําเนินการดังกล่าวจําเป็นต้องใช้เครื่องมือระยะสั้น (ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน และสัญญากู้เงินระยะสั้น) ในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพคล่อง และความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน ซึ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้มีการใช้เครื่องมือระดมทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ เป็นผลให้หนี้กระจุกตัวและทยอยครบกําหนดเป็นจํานวนมากตามสัดส่วนเครื่องมือระดมทุนระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดฯ เป็นต้นมา ส่งผลให้สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ปรับเพิ่มขึ้น
วิธีการในการทําให้สัดส่วนดังกล่าวอยู่ภายในสัดส่วนที่กําหนด: กระทรวงการคลังมีแผน การปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยการทําธุรกรรมการแลกเปลี่ยนพันธบัตร (Bond Switching) เพื่อยืด อายุหนี้ที่จะครบกําหนด รวมทั้งธุรกรรมการปรับโครงสร้างหนี้ล่วงหน้า (Prefunding) และการชําระหนี้ก่อน ครบกําหนด (Prepayment) เพื่อลดภาระที่จะต้องกู้เงินในปริมาณมากในคราวเดียว โดยคํานึงถึงต้นทุนและ ความเสี่ยง รวมทั้งสภาพคล่องของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
ระยะเวลาในการทําให้สัดส่วนดังกล่าวอยู่ภายในสัดส่วนที่กําหนด: ขึ้นอยู่กับปัจจัยสําคัญต่าง ๆ ที่มีผลต่อสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณ ได้แก่
1. สภาวะตลาดการเงินและสภาพคล่องในประเทศที่เอื้ออํานวยต่อการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในเชิงต้นทุนและความเสี่ยง
2. ภาระหนี้รัฐบาล และหนี้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่รัฐบาลรับภาระ (Redemption profile) ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้เงินและการปรับโครงสร้างหนี้ในอดีต
3. การก่อหนี้ใหม่ในแต่ละปี ซึ่งประกอบด้วย
การกู้เงินเพื่อการชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามแผนการคลังระยะปานกลางซึ่งปัจจัยความสําเร็จขึ้นกับความคืบหน้าในการปรับลดขนาดการขาดดุลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในระยะปานกลาง อันเป็นผลจากการสร้างความเข้มแข็งด้านการคลังในด้านต่าง ๆ ได้แก่
- การทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษีให้มีเพียงเท่าที่จําเป็นรวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
- การพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นของการใช้จ่ายภาครัฐจากทุกแหล่งเงิน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐตามแผนความต้องการกู้เงิน ระยะปานกลาง ซึ่งปัจจัยความสําเร็จขึ้นกับการพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นของโครงการของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐและความคืบหน้าในการดําเนินโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ การก่อหนี้ใหม่ดังกล่าวข้างต้น ควรมุ่งเน้นการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัว อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการคํานึงถึงระดับความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ในปัจจุบันด้วย
4. การได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อชําระหนี้ที่เหมาะสม
ผลกระทบ
การกู้เงินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันรัฐบาลยังคงต้องดําเนินนโยบาย การคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและ สังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะทําให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และมีการใช้เครื่องมือระดมทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน แต่เป็นความจําเป็น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ฟื้นตัวตามนโยบายของรัฐบาล
การกู้เงินดังกล่าวจะถูกนําไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสําคัญ เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทาง เศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทําให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่มีหนี้กระจุกตัวและทยอยครบกําหนดเป็นจํานวนมากตามสัดส่วนเครื่องมือระดมทุนระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดฯ เป็นต้นมา ส่งผลให้สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะต่อไปได้
ในการนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบการบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการดําเนินมาตรการทางการคลัง รวมทั้งการชําระหนี้อย่างเคร่งครัด โดยคํานึงถึงต้นทุนและความเสี่ยงภายใต้เงื่อนไขความจําเป็นและข้อจํากัดตามปัจจัยสําคัญที่กล่าวข้างต้น
ที่มา: การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 29 พ.ย.
บทความที่เกี่ยวข้อง:
กู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันหนี้สาธารณะพุ่ง 64%ของจีดีพี