การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 67 รับทราบรายงานสถานะของหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่ 31 ส.ค.67 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เสนอ
สถานะของหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ส.ค.67 มีจำนวน 11,728,149.06 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 64.02 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี (GDP) ซึ่งยังอยู่ในกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี ไม่เกินร้อยละ 70 โดยหนี้สาธารณะคงค้างประกอบไปด้วย
- หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง มี 9,781,833.59 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.39% ต่อจีดีพี
- หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) มี 583,627 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.19% ต่อจีดีพี
- หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน มี 1,060,739.48 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79% ต่อจีดีพี
- หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน มี 1,060,739.48 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 % ต่อจีดีพี มี 189,254.59 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.03% ต่อจีดีพี
- หนี้หน่วยงานของรัฐ มี 112,10 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.62% ต่อจีดีพี
ขณะที่ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดสัดส่วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งสถานะสัดส่วนหนี้ ณ วันที่ 31 มี.ค.67 อยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดและเป็นประโยชน์ต่อการรักษาวินัยทางการคลังของประเทศ โดยแสดงให้เห็นว่า การก่อหนี้และการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐกระทำด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้การกระจายภาระการชำระหนี้ เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินการคลัง ตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศ ประกอบด้วย
- สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี อยู่ที่ร้อยละ 63.67 (กำหนดไม่เกินร้อยละ 70)
- สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ร้อยละ 19.01 (กำหนดไม่เกินร้อยละ 35)
- สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด อยู่ที่ร้อยละ 1.23 (กำหนดไม่เกินร้อยละ 10)
- สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ อยู่ที่ร้อยละ0.05 (กำหนดไม่เกินร้อยละ 5)
กระทรวงการคลังยอมรับว่าการกู้เงินของรัฐบาลแม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
การกู้เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ นอกจากนี้กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการดำเนินมาตรการทางการคลัง รวมทั้งการชำระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ
จากข้อมูลกระทรวงการคลังพบว่า หนี้สาธารณะในช่วงที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกัน โดยเดือน มิ.ย. 67 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 11,541,664.47 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.38% ของจีดีพี เดือน ก.ค. 67 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 11,641,886.65 ล้านบาท อยู่ที่ร้อยละ 63.74 ของจีดีพี และล่าสุดเดือน ส.ค. อยู่ที่ 11,728,149.06 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 64.02 ของจีดีพี
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- เคาะแผนก่อหนี้ใหม่กว่า 1.2 ล้านล้าน โปะงบประมาณ
- รัฐบาล “มองสั้น” เน้นประชานิยม สร้างหนี้ระยะยาว
- ไทยเสี่ยงถูกหั่นเครดิต จากภาระหนี้-ระบบเศรษฐกิจ
ที่มา : ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 พ.ย.67 และกระทรวงการคลัง