ลดดอกเบี้ยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือน
ผลการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 16 ต.ค. 67 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที
กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี โดยการประชุม กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 พ.ค. 62 แตะระดับต่ำสุด 0.50% ในช่วงผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19
กนง.ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 ด้านกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้มีแนวโน้มเกิดขึ้นต่อเนื่อง คณะกรรมการฯ เห็นว่าจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลางยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ภายใต้บริบทที่สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอยู่ในระดับที่ยังเป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ
ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมถึงการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า
เศรษฐกิจไทยยังฟื้นไม่ทั่วถึง
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ปรับดีขึ้นตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่ม รวมถึง SMEs ยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 และ 1.2 ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากสภาพอากาศที่ผันผวน และอัตราเงินเฟ้อ หมวดพลังงานมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากผลของฐาน ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 และ 0.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ
โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัย เชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่อยู่ในระดับสูงจากสินค้านำเข้า ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567
จับตาคุณภาพสินเชื่อด้อยลง
ทั้งนี้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับแข็งค่า ตามทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักและปัจจัยเฉพาะในประเทศ ด้านต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ยังทรงตัวใกล้เคียงเดิม สินเชื่อโดยรวมชะลอลง โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ SMEs กลุ่มธุรกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมทั้งสินเชื่อเช่าซื้อและบัตรเครดิต
ด้านคุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกหนี้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา และธุรกิจ SMEs และครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาภาระหนี้ที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ ทั้งนี้ ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรอยู่ในระดับที่เป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่ต่ำเกินไปจนนำไปสู่การสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในระยะยาว
ปฏิเสธลดดอกเบี้ยตามแรงกดดันการเมือง
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมรอบนี้ ไม่ใช่เพราะแรงกดดันทางการเมือง แม้ว่าจะมีกระแสเรียกร้อง และมีการหารือระหว่างนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.
ลดดอกเบี้ยสวนทางตลาดคาดการณ์
การประชุมกนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 2.50% ลงมาอยู่ที่ 2.25% สวนทางตลาดคาด โดยมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง ท่ามกลางคุณภาพสินเชื่อที่ปรับด้อยลงโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง ซึ่งสะท้อนมุมมองว่ากนง. ให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงยังอยู่ในระดับที่เป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ ซึ่งกนง. ยังมีมุมมองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่แตกต่างจากเดิม โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2567 และ ที่ 2.9% ในปี 2568
ขณะที่มองเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบล่างของเป้าหมายกนง. ในช่วงปลายปีนี้ และมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งกนง. ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.5% ในปี 2567 และ 1.2% ในปี 2568
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในการประชุมครั้งหน้าในเดือนธ.ค. 2567 แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ ซึ่งมีโอกาสที่กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมครั้งหน้า หากความกังวลของกนง. เกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ยังไม่คลี่คลายลง
หากธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดดอกเบี้ยตาม รวมถึงหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด ก็มีโอกาสที่กนง. อาจคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า
กนง. คงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากข้อมูลที่ออกมาระหว่างทางเป็นสำคัญ รวมถึงคงต้องติดตามมาตรการทางการคลังที่อาจออกมาเพิ่มเติม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง