เมื่อ 5 มิ.ย. 2568 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (พ.ร.ป. ป.ป.ช.) โดยมีสาระสำคัญเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือผู้แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสคดีทุจริตต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย
เนื่องจาก พ.ร.ป. ป.ป.ช. ฉบับแรกใน พ.ศ. 2561 นั้น ยังขาดกลไกคุ้มครองและช่วยเหลือผู้แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสส่งพยานหลักฐานแก่ ป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าที่พนักงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้งฟ้องคดีหรือถูกดำเนินการทางวินัยเพื่อปิดปาก
พ.ร.ป. ป.ป.ช. ฉบับใหม่นี้ จึงมีข้อบัญญัติทั้งหมด 7 มาตรา เพื่อคุ้มครองผู้ชี้เบาะแส แจ้งข้อมูลหลักฐานหากกระทำโดยสุจริต จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิด และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือโดยเร่งด่วนหากถูกกลั่นแกล้งฟ้องกลับ ดังนี้
- ในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล ป.ป.ช. ต้องเข้าช่วยเหลือ เช่น การแจ้งมติคุ้มครองไปให้พนักงานสอบสวน อัยการ หรือศาล นำเข้าประกอบการพิจารณาในสำนวนคดี การจัดให้เจ้าหน้าที่หรือจัดหาทนายเพื่อช่วยเหลือ รวมถึงช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
- ในคดีแพ่ง ป.ป.ช. ต้องจัดเจ้าหน้าที่หรือทนายในการดำเนินคดีในศาล รวมถึงการสนับสนุนค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี โดยใช้งบประมาณจากกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
- กรณีถูกกลั่นแกล้งโดยการดำเนินการทางวินัย กฎหมายได้กำหนดให้มีการแจ้งมติคุ้มครองไปยังผู้บังคับบัญชาให้ยุติการดำเนินการทางวินัยนั้นทันที
ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่เข้ามาชี้ช่องแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำทุจริตว่าจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามรัฐธรรมนูญ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการยุติคอร์รัปชั่นมากขึ้น ซึ่ง พ.ร.ป. ป.ป.ช. ฉบับใหม่นี้ สำนักงาน ป.ป.ช. เรียกว่า “กฎหมายป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก” (Anti-SLAPP Law)
การฟ้องร้องปิดปาก หรือ การฟ้องคดี SLAPP
“การฟ้องปิดปาก” หรือ “การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ” (Strategic Lawsuits Against Public Participation – SLAPP) คือ การฟ้องคดีที่มุ่งขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสาธารณะหรือสร้างภาระให้กับบุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อโครงการพัฒนาของรัฐและการต่อต้านโครงการอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“การฟ้องปิดปาก” คือการฟ้องคดีไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมตามกฎหมาย แต่ใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความลำบากในการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ถือได้ว่า SLAPP เป็นการกีดกันการมีส่วนร่วมทางสาธารณะของประชาชน การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และเป็นเครื่องมือขัดขวางการตรวจสอบหรือปกป้องสาธารณประโยชน์
บรรดานักปกป้องสิทธิ นักกิจกรรมทางการเมือง กลุ่มชาวบ้านเคลื่อนไหวระดับท้องถิ่น สื่อมวลชน นักวิชาการและ สมาชิกสหภาพแรงงาน มักตกเป็นผู้ต้องหาคดีประเภทนี้ เช่นคดีหมิ่นประมาททางอาญา คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ความผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง ข้อหาละเมิดทางแพ่ง ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ละเมิด พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อหาเกี่ยวกับการกระทำที่เข้าข่ายการยุยงปลุกปั่น ละเมิด พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้ง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อีกทั้งยังมีการฟ้องเพื่อสร้างความลำบากโดยการฟ้องหรือร้องทุกข์ในท้องที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของจำเลยหรือผู้ต้องหา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการฟ้องร้องปิดปากหลายครั้ง ที่ผู้ฟ้องมักเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจัดการกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือกลุ่มนายทุนใหญ่ฟ้องร้องบุคคลที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เช่น
- พ.ศ. 2566 กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี จัดงานเสวนาและกิจกรรมจำลองการลงประชามติเกี่ยวกับสันติภาพและสิทธิการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง ที่คณะรัฐศาสตร์ แต่ถูก กอ.รมน. ยื่นหนังสือกล่าวโทษกับสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี ว่าน.ศ. กลุ่มนี้เข้าข่ายมีความผิดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญามาตรา 116 ข้อหายุยงปลุกปั่น
- พ.ศ. 2566 สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงินการลงทุนและนักเขียน ถูกบริษัทด้านพลังงาน ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท จากการที่เธอเขียนบทความวิพากษ์การผูกขาดกิจการโรงไฟฟ้า
- พ.ศ. 2567 เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) ถูกบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “CPF” ฟ้องร้องในข้อหา“หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” จากการเผยแพร่ข้อมูลประเด็นปลาหมอคางดำทำลายระบบนิเวศ
มีการรวบรวมสถิติคดีที่เข้าข่ายฟ้องร้องปิดปากโดยหลายกลุ่มหลายองค์กร ที่เผยให้เห็นจำนวนผู้ถูกฟ้องเป็นจำนวนมาก
องค์กร Protection International ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศทำงานด้านจัดการความปลอดภัยสำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เผชิญความเสี่ยง ได้ออกมาเปิดเผยสถิติคดีที่เข้าข่ายฟ้องร้องปิดปากคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพศหญิง นับตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ. 2557-2565 พบว่า มีผู้หญิงโดนคดีฟ้องปิดปากมีอย่างน้อย 570 คดี ส่วนใหญ่เป็นการฟ้องโดยบริษัทเหมืองแร่ ปาล์มน้ำมัน และหน่วยงานของรัฐ ผู้ถูกฟ้องคือชาวบ้านนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิที่ทำกิน และจากฐานความผิดใน 570 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีละเมิดที่เรียกค่าเสียหาย ฟ้องขับไล่ 217 คดี อันดับที่ 2 เป็นคดีบุกรุกผืนป่า 159 คดี อันดับที่ 3 เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 47 คดี คดีหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 41 คดี ตามลำดับ
จากการสำรวจของ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD) เปิดเผยสถิติจำนวนนักกิจกรรมภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งถูกดำเนินคดีที่เข้าข่ายฟ้องปิดปาก ในระหว่าง พ.ศ. 2561 – 2566 มีอย่างน้อย 39 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรมการแสดงออกทางการเมืองอย่างน้อย 22 คน
จาก “รายงานการศึกษากฎหมายและมาตรการป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในบริบทธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” จากการสนับสนุนของโครงการสหประชาชาติเพื่อการพัฒนา (United Nations Development Program: UNDP) เผยให้เห็นว่าธุรกิจเหมืองแร่เป็นธุรกิจที่มีการฟ้องปิดปากมากที่สุด คิดเป็นกว่า 34% จากทั้งหมด 109 คดี ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565
จากรายงานข้อเสนอแนะต่อการคุ้มครองผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะจากการถูกฟ้องคดีโดย สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พบว่า ข้อมูลสถิติคดีการฟ้องปิดปากในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2540-2562 ที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นการฟ้องปิดปากมีจำนวนทั้งหมด 212 คดี แบ่งออกเป็น
- การเมืองและความชอบธรรมของรัฐบาล 39.13%
- สิ่งแวดล้อม 32.07%
- การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐและกระบวนการยุติธรรม 12.26%
- การทุจริต 5.66%
- แรงงาน 5.18%
- ทางการแพทย์และสาธารณสุข 2.35%
- พลังงาน 2.35%
- ประเด็นอื่น ๆ 0.94%
จากสถิติจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ถูกดำเนินคดีที่เข้าข่ายปิดปากนั้นมาจากหลากหลายกรณี ไม่ได้มีแค่กรณีแจ้งเบาะแสทุจริตคอร์รัปชั่น ต่อ ป.ป.ช. หากแต่เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ การเปิดเผยกลุ่มธุรกิจที่ทำลายระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป. ป.ป.ช.
กฎหมายคุ้มครองผู้ชี้เบาะแส ไม่ใช่กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก
เนื่องจาก ป.ป.ช. มีทำหน้าที่รับไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีทุจริตหรือ “มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ” หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่ง พ.ร.ป. ฉบับนี้ใช้ได้เฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐในคดีทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของ ป.ป.ช. เท่านั้น และมุ่งคุ้มครองผู้ที่เเจ้งเบาะแส ไม่ใช่การมีส่วนร่วมของสาธารณะทั้งหมด
พ.ร.ป. ป.ป.ช. อาจไม่สามารถเรียกว่าเป็น “กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก” ได้เต็มปากเต็มคำนัก หากแต่เป็น “กฎหมายคุ้มครองผู้ชี้เบาะแส” (Whistle Blower) เพื่อคุ้มครองกรณีที่มีผู้พบเห็นการทุจริตแล้วเปิดโปง ซึ่งมักเป็นบุคคลภายในหน่วยงานนั้นๆ เพราะเข้าถึงข้อมูลได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ กรณีที่นักศึกษาฝึกงานในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดขอนแก่น ร้องเรียนกับ ป.ป.ท. เรื่องการปลอมแปลงเอกสารเพื่อทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยของศูนย์ฯ ในพ.ศ. 2561 จนถูกแรงกดดันจากทั้งมหาวิทยาลัยและศูนย์ฯ ในกรณีนี้นักศึกษาฝึกงานควรได้รับการคุ้มครอง
เพราะการนิยามว่า “ฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP นั้น ต้องสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Public Participation) ด้วย เช่นการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน หรือการเปิดเผยข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นอีกการมีส่วนร่วมตรวจสอบของสาธารณะ
หากนับ พ.ร.ป.ป.ป.ช. เป็น “กฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก” อาจสร้างความสับสน และรัฐอาจอ้างได้ว่าประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้ว พ.ร.ป.ป.ป.ช. ไม่ได้ครอบคลุมคดีฟ้องปิดปากที่ประชาชนทั่วไปกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ นอกจากนี้ผู้ชี้เบาะแสจริงๆ ควรได้รับมาตรการความคุ้มครองที่สูงกว่าและละเอียดกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนทั่วไป เพราะผู้ชี้เบาะเเสมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าจากตำแหน่งงานที่ทำอยู่หรือสังกัดอยู่ จึงควรจะมีกฎหมายคุ้มครองแบบคนละระบบ ไม่ควรปนกัน
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวถึง พ.ร.ป. ป.ป.ช. ว่า พ.ร.ป. ป.ป.ช. ฉบับที่ 2 ถือเป็นความก้าวหน้า ที่เพิ่มหลักการคุ้มครองผู้ชี้เบาะแส มีความชัดเจนว่าจะไม่ถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในองค์กรทางการเมืองนั้นๆ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรได้ แต่ด้วยองค์กรเหล่านี้มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจสูง ทำให้ผู้ที่ออกมาแจ้งเบาะแสทุจริตต้องแบกรับความเสี่ยงและแรงกดดัน
แต่ไม่มั่นใจว่าในทางปฏิบัติ จะสามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแรงจูงใจสำคัญของผู้ออกมาชี้เบาะแส คือเขาต้องรู้สึกว่า การที่ออกมาเปิดโปงคอร์รัปชั่นแล้ว มันมีโอกาสที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษได้จริง มองเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าหากเปิดโปงแล้ว ไม่สามารถเอาผิดใครได้ ก็ไม่มีใครออยากออกมาเปิดโปง แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง
ดังนั้นปลายทางที่ต้องแก้ไขก็คือ การตรวจสอบคอร์รัปชั่นต้องโปร่งใส เป็นธรรม เป็นอิสระในการตัดสินและกระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพพอที่จะลงโทษผู้กระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม กฎหมายคุ้มครองผู้ชี้เบาะแสยังคงมีความสำคัญจำเป็น แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากประชาชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานขององค์กรทางการเมืองหรือการคอร์รัปชั่น
ร่างพ.ร.บ. ป้องกันฟ้องปิดปากฯ
ด้วยเหตุนี้ การมีกฎหมายเฉพาะสำหรับป้องกันการฟ้องปิดปากจึงครอบคลุมกว่า เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงได้ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ. …. (ร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากฯ) เพื่อให้การฟ้องร้องปิดปากประชาชนทำได้ยากมากขึ้นและยุติได้เร็วขึ้น โดยการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะการฟ้องคดีเพื่อปิดปากจะเกี่ยวข้องกับลักษณะสี่ประการ ได้แก่
- เสรีภาพในการแสดงออก
- สิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐ
- เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
- เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ
หากร่าง พ.ร.บ. ผ่านจะแก้ไขกฎหมายทั้ง 4 ฉบับได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนี้
- เพิ่มคำว่า “เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” สำหรับตีความและให้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี ซึ่งในร่างได้นิยามว่า
เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ หมายความถึงการติดตามตรวจสอบการทุจริตในภาครัฐ การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม การอนุรักษ์หรือการบํารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม การละเมิดสิทธิของประชาชนในวงกว้าง หรือเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชนในวงกว้างที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพหรือความเป็นอยู่ของประชาชน หรือที่ประชาชนเห็นว่ามีความสําคัญ
- หากสิ่งที่พูดหรือเผยแพร่ไม่เป็นความจริง แต่เป็นประโยชน์สาธารณะ ถือว่าไม่เท่ากับหมิ่นประมาท ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย
- ในกระบวนการพิจารณาคดี หากพิจารณาแล้วพบว่าเป็นการฟ้องปิดปาก ในกระบวนการพิจารณาแต่ละชั้น ทั้งชั้นสอบสวน ชั้นอัยการ ชั้นศาล สามารถสั่งยุติคดีได้ทันที
สำหรับร่าง พ.ร.บ. ป้องกันฟ้องปิดปากฯ นั้น ยิ่งชีพกล่าวว่า ถือว่าเป็นความพยายามที่ดี เพราะนิติบัญญัติเป็นช่องทางหนึ่งของการยุติการฟ้องปิดปาก แต่ยังไม่ใช่ช่องทางหลัก ไม่ใช่หัวใจสำคัญของปัญหา
กรอบการป้องกันการฟ้องปิดปาก ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 และมาตรา 330 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161/1 และ มาตรา 165/2 และมาตรา 329
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท หากเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
มาตรา 330 ในกรณีถูกฟ้องหมิ่นประมาท หากพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หานั้นเป็นความจริง ไม่ต้องรับโทษ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 อนุญาตให้ศาลยกฟ้องคดีหากความปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ (ในคดีราษฎรเป็นโจทก์) “ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ”
มาตรา 165/2 อนุญาตให้จำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องยื่นหรือแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงเพื่อแสดงให้เห็นว่า “คดีไม่มีมูล”
หากแต่ ป.วิ.อาญาฯ มาตรา161/1 และ 165/2 ไม่ค่อยได้ถูกนำมาใช้ และการฟ้องปิดปากเกิดขึ้นทั้งทางแพ่งและอาญา หากแต่ประเทศไทยยังคงมีเพียงกรอบมาตรการทางอาญาเท่านั้น ยังไม่มีทางแพ่ง ดังนั้นต้องขยายครอบคลุมไปถึงแพ่งด้วย และสาเหตุหลักที่ ป.วิ.อาญาฯ ไม่สามารถป้องกันการฟ้องปิดปากคือ
- วัฒนธรรมในกระบวนการยุติธรรม ที่ผู้พิพากษาคุ้นชินกับการตัดสินผิด-ไม่ผิดจากการเบิกความ สืบพยานหลักฐานแล้วตัดสิน ไม่ได้พิจารณาตั้งแต่ต้นคดีว่า มุ่งหวังผลอย่างอื่นหรือเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย
- สำนึกของการแก้แค้นเอาคืน ฟ้องมาฟ้องกลับ คนจึงเลือกดำเนินคดีเป็นหลัก กลายเป็นนิติสงคราม ทำให้มีคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นเยอะมาก และมีแนวโน้มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ
การฟ้องปิดปากจึงไม่สามารถแก้ไขด้วยนิติบัญญัติช่องทางเดียว แต่ควรมีช่องทางอื่นในการสร้างความเข้าใจ เช่นชี้แจงตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง การสร้างความรู้ความเข้าใจถึงนิยามความหมายของการฟ้องปิดปาก สร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิในการร้องทุกข์ต่อรัฐ หรือความหมายของการเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
Anti-SLAPP Law : ความหวังใหม่ในการต่อต้านคอร์รัปชันไทย
ความจริงและ ความหวังในการต่อต้าน ‘คอร์รัปชันเชิงนโยบาย’ ของไทย