การจัดทำงบประมาณแบบ “สมดุล” เป็น “ความไฝ่ฝัน” ที่มีมานาน แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ โดยมักจะมี “เหตุผล”ในแต่ละปีต่างต่างนา ๆ ล่าสุดรัฐบาลของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง ทำแผนการคลังระยะปานกลาง ที่เปรียบเสมือนกรอบการใช้จ่ายและการหารายได้ของรัฐในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้าหมายจะลดขาดดุลให้ได้น้อยกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี 72
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 18 พ.ย. มีมติเห็นชอบตามเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570 – 2573) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เสนอ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา 15 แห่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
ทำไมต้องทำแผนการคลังระยะปานกลาง
ตามกฎหมายมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มีหน้าที่จัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของรัฐ รวมทั้งแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนการบริหารหนี้สาธารณะ โดยกำหนดให้แผนการคลังระยะปานกลางมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี และอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
- เป้าหมายและนโยบายการคลัง
- สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
- สถานะและประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงประมาณการรายได้ ประมาณการรายจ่าย ดุลการคลัง และการจัดการกับดุลการคลังนั้น
- สถานะหนี้สาธารณะของรัฐบาล
- ภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 68 ได้มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางฯ เพื่อนำเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ และนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
สาระสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลางฯ โดยจะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ 2. สถานะและประมาณการการคลัง และ 3″ เป้าหมายและนโยบายการคลัง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ
- ในปี 69 คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัวในช่วง 1.2 – 2.2 % (ค่ากลาง 1.7%) GDP Deflator อยู่ที่ 0.7% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.0 – 1.0%
- ในปี 70 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วง 2.1 – 3.1% (ค่ากลาง 2.6%) GDP Deflator อยู่ที่ 0.9% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.4 – 1.4%
- ในปี 71 – 72 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วง 2.3 – 3.3% (ค่ากลาง 2.8%) ขณะที่ในปี 73 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วง 2.5 – 3.5% (ค่ากลาง 3.0%) ทั้งนี้ GDP Deflator ในปี 71 – 73 อยู่ที่ 1.1% 1.3% และ 1.5% ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 71 – 73 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.6 – 1.6% 0.8 – 1.8% และ 1.0 – 2.0% ตามลำดับ
สถานะและประมาณการการคลัง
- ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 70 – 73 เท่ากับ 3,000,000 3,145,000 3,274,000 และ 3,422,000 ล้านบาท ตามลำดับ
- ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2570 – 2573 เท่ากับ 3,788,000 3,826,000 3,864,000 และ 3,903,000 ล้านบาท ตามลำดับ
- ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 70 – 73 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณจำนวน 788,000 681,000 590,000 และ 481,000 ล้านบาท หรือ 3.9% 3.3% 2.7% และ 2.1% ต่อ GDP ตามลำดับ
- ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 68 มีจำนวน 12,226,290 ล้านบาท คิดเป็น 64.82% ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 69 – 73 เท่ากับ 68.17% 69.36% 69.78% 69.52% และ 68.22% ตามลำดับ
เป้าหมายและนโยบายการคลัง
ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการคลังของไทยส่งสัญญาณเตือนในหลายด้าน โดยเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย พบว่า สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 17.0% ในปี 36 ลดลงเหลือ 14.9% ในปี 68

รายจ่ายรัฐมากขึ้น
แม้ว่าสัดส่วนรายได้รัฐบาลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของรัฐบาลกลับยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงัน ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากสัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเมื่อพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดรายจ่ายรัฐบาลจะพบว่า รายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึง 70 – 80% ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด เช่น เงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าสาธารณูปโภค เงินอุดหนุน เป็นต้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลมีวงเงินงบประมาณคงเหลือสำหรับรายจ่ายลงทุนซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลต่อความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ประกอบกับความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังในการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินผ่านเครื่องมือทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นและเข้าใกล้กรอบเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ 70% ขณะเดียวกัน สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนสูงส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคาดการณ์ภาระดอกเบี้ย
ภาระผูกพันสูงขึ้น 30.21% ของงบประมาณ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในส่วนของการกำหนดสัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rule) ตามมาตรา 11 (4) และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล เป็นต้น พบว่า สัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลังบางรายการควรมีการทบทวน ยกเลิก หรือเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและบริบททางการคลังเพื่อเป็นการมุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการภาระผูกพันตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 62 มีภาระหนี้ผูกพันตามมาตรา 28 อยู่ที่ 865,018 ล้านบาท หรือ 28.83% ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ และล่าสุดในปี 68 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,133,751 ล้านบาท หรือ 30.21% ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ
ความเปราะบางทางการคลังต่าง ๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ระดับโลกได้แสดงความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่สะท้อนผ่านการปรับแนวโน้มมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป
3 แนวทางปรับสมดุลการคลัง
ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ภาครัฐจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง โดยมีการดำเนินการตามแนวทาง ดังนี้
1. การเปิดเผยแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่ายและหนี้สาธารณะ อย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ด้านรายได้ มุ่งเน้น (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ โดย Data Lake ของกระทรวงการคลังมีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน อีกทั้ง ยังนำมาช่วยออกแบบ วิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางการคลังของรัฐและเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป รวมทั้งการทบทวนกฎหมายลำดับรองและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง รวมทั้งเพิ่มรายได้และมูลค่าในการบริหารทรัพย์สินอื่น ๆ ที่รวมถึงทุนหมุนเวียนหลักทรัพย์ ที่ราชพัสดุ ราคาประเมิน และเหรียญกษาปณ์
(2) การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งในส่วนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax (ภาษีสุรา-ยาสูบ) ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเทียบเท่ากับการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.5% (เป็นจัดเก็บที่อัตรา 8.5%) และอีก 1.5% (เป็นจัดเก็บที่อัตรา 10.0%) ในปีงบประมาณ 71 และ 73 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน
ด้านรายจ่าย ให้ความสำคัญกับ
- การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล
- การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากร ด้านสวัสดิการประชาชน ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน
- การจัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน หรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
- การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting)
- การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีสถานะการเงินที่ดี รวมถึงมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง ให้พิจารณาความเหมาะสมในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นลำดับแรก
นอกจากนี้ สำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกชนมีศักยภาพ นวัตกรรม มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงและต้นทุนในการดำเนินการโครงการดังกล่าว หรือสามารถสร้างคุณภาพการให้บริการให้กับประชาชนดีกว่าที่ภาครัฐจะดำเนินการเอง ก่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่จะให้เอกชนดำเนินการ ให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนผ่านกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
ด้านหนี้สาธารณะ ดำเนินการโดย (1) การบริหารหนี้ในเชิงรุก โดยปรับกลยุทธ์การระดมทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก และพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล (2) การรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และจัดสรรรายจ่ายชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย และ (3) การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ จากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปีงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ณ สิ้นปีงบประมาณ 68 อยู่ที่ 10.24% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา
2. การปรับกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) เพื่อเพิ่มวินัยทางการคลัง โดยให้มีการทบทวนสัดส่วนวินัยการคลังตามมาตรา 11 (4) ได้แก่ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบชำระคืนต้นเงินกู้ และการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะถึงเจตนารมณ์ในการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้นของรัฐ
3. การกำหนดแนวทางกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยเสนอขอความเห็นชอบ ครม. กำหนดแนวทางในการพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรา 28 ให้อยู่ภายใต้กรอบ 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร
ทั้งนี้ ในการเสนอโครงการต่อ ครม. หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการจะต้องได้รับความเห็นชอบโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อน โดยหน่วยงานของรัฐนั้นจะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและ ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เป้าลดขาดดุล เพิ่มพื้นที่การคลัง
จากแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้ง 3 ด้านดังกล่าว นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) โดยปรับลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3.0% ของ GDP ภายในปี 72 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคลังของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ประโยชน์และผลกระทบในการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางฯ จะเป็นแผนแม่บทหลักให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งภาคการคลังของประเทศในด้านต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation) เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสาธารณชน และสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะเป็นส่วนสำคัญของการวางรากฐานเศรษฐกิจการคลังของประเทศในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง:




