หนึ่งในนโบายของกระทรวงการคลัง คือ การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาล “ง่ายขึ้น” สำหรับรายย่อย ซึ่งปัจจุบันคนที่มีบัญชีเงินฝากสามารถซื้อ-ขายได้ผ่านแอป “ป๋าตัง” ใน “วอลเล็ตสบม.” หรือ “ซื้อขายหุ้นกู้” โดยที่ผ่านมา ได้รับความนิยมสูงและสามารถขายหมดย่างรวดเร็ว เนื่องจากวงเงินที่ออกจำหน่าไม่มากนัก และ “อัตราผลตอบแทน” สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย
หากรัฐบาลออกพันธบัตรจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนเข้าถึงได้ตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนนักเรื่องช่องทางจำหน่าย และผลตอบแทน รวมถึงการซื้อขาย สิ่งที่ควรจะทำคือ “การสร้างความเข้าใจ”ให้กับประชาชน เพราะพันธบัตรมีความ “ซับซ้อน”มากกว่าการฝากเงิน ซึ่งราคาย่อมมีขึ้นมีลงตามภาวะตลาด หากคนไม่มีความรู้มากพอและจำเป็นต้องขายคืนในตลาด (หากเปิดให้ขายคืนได้) และราคาต่ำกว่าที่เคยซื้อ อาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย
อ่านเพิ่มเติม: เปิด 15 นโยบายรัฐบาล 4 เดือน ทำอะไรได้แค่ไหน?
เพราะราคาพันธบัตรเป็นไปตามกลไกตลาด หากนักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรมากขึ้น ส่งผลให้ “ราคาพันธบัตร”ขยับขึ้น และ”อัตราผลตอบแทน” (ในขณะนั้น) ลดลง โดยราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทน จะมีทิศทางตรงกันข้าม หากราคาพันธบัตร”ซื้อขายในตลาด”ต่ำกว่า “มูลค่าหน้าตั๋ว” จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว แต่หากราคาพันธบัตรสูงขึ้น จากแรงซื้อของนักลงทุน ก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว
อย่างเช่น ในช่วงก.ย. 68 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds) หรือ ยีลด์ (Yield) ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางตลาดพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ และการปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Downgrade) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 – 15 ปี ปรับเพิ่มสูงขึ้นมา 3 – 11 เบสิสพอยท์ (basis points) เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือน ส.ค. 68
แต่ภาพรวมทั้งปี 68 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ยังคงลดลงตามทิศทางแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ โดยเมื่อเทียบกับระดับ ณ สิ้นปี 67 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงมาแล้วประมาณ 91 เบสิสพอยท์ และในบางช่วงได้แตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 64 ซึ่งทิศทางการปรับลดลงดังกล่าวสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ที่ในปีนี้ กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว 3 ครั้ง รวม 75 เบสิสพอยท์ มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี (ณ 25 ก.ย.68)
รัฐเร่งออกพันธบัตรรับกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลัง ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) และ มูดีส์ (Moody’s) ปรับลดมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของไทย มาเป็นเชิงลบ (Negative) ทำให้ตัวแปรทางการเมือง รายจ่ายภาครัฐและหนี้สาธารณะของไทยกลับมาเป็นจุดสนใจของตลาดพันธบัตรอีกครั้ง เพราะถึงแม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจะทยอยคลี่คลายลงไปแล้วบางส่วน แต่ไทยก็ยังคงเผชิญโจทย์ทางการคลังที่คล้ายคลึงกัน และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 68 ภาครัฐอาจต้องเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลจะอยู่ในกรอบ 2–4 แสนล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ปี 68 ซึ่งส่งผลทำให้ยอดการออกพันธบัตรรัฐบาลทั้งปี 68 อยู่ที่กรอบประมาณ 1.3 – 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการขาดดุลงบประมาณปี 68 จำนวน 8.65 แสนล้านบาท และบริหารจัดการหนี้ภาครัฐบาลจากขาดดุลงบประมาณในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจัยต่างประเทศ-ลดเครดิต กดดันระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย คาดว่า ความผันผวนของตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยที่เกิดขึ้นตามปัจจัยต่างประเทศ และการถูกลดมุมมองอันดับความเชื่อถือ จะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในระยะสั้นเท่านั้น แต่ภาครัฐยังคงมีโจทย์ในการดูแลประเด็นเสถียรภาพการคลังต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
ดังนั้นในระยะสั้น หากเปรียบเทียบปัจจัยที่นำมาพิจารณาอันดับเครดิต สถานการณ์ของประเทศไทยน่ากังวลน้อยกว่าฝรั่งเศส ทั้งในด้านความต่อเนื่องของนโยบายการคลังที่รัฐสภาอนุมัติร่างงบประมาณปี 69 ซึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ในระดับปานกลางและเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่า รวมถึงในช่วงที่ผ่านมาสถาบันจัดอันดับปรับลดมุมมองเครดิตเท่านั้น อย่างไรก็ดีปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและฐานะการคลังที่อ่อนแอลงในระยะ 3 – 5 ปีข้างหน้า อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเครดิตของไทยในอนาคต
ทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรในปี68
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปี 68 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะลดลงตามสัญญาณการลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมองว่า กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอลง และเพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
ตลาด Overnight Index Swap (การสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น) อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย THOR (THOR OIS) สะท้อนโอกาสที่ กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดย THOR OIS ระยะ 3 เดือนข้างหน้า ที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 1.35%
ที่มา : กฤษฎิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง: