การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 9 ก.ย. 68 รับทราบการทบทวน สัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง ของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ทั้งนี้ ตามมาตรา 50 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ กำหนดให้มีการทบทวนสัดส่วน ที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยทุกสามปีและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย โดยคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2567 เมื่อ 19 ธ.ค. 67 เพื่อพิจารณาทบทวนสัดส่วน ที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
ความเป็นมา
มาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ กำหนดให้คณะกรรมการฯ ประกาศ กำหนดสัดส่วนดังต่อไปนี้เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
- กรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ กำหนดไว้เพื่อควบคุมระดับหนี้ไม่ให้สูงจนเกินควร และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายการคลังที่จำเป็นต่อการพัฒนาและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยตามประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง กำหนดกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2564 ได้กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 70
- กรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ กำหนดเพื่อให้มีการรักษาความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และควบคุมไม่ให้ความเสี่ยงการปรับโครงสร้างหนี้ (Refinancing risk) สูงเกินไป ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้รัฐบาล มีการชำระหนี้ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และกู้เงินด้วยการใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย (Diversified instruments) โดยตามประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง กำหนดกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561ได้กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 35
- กรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด กำหนดเพื่อป้องกันไมให้เกิดการกู้เงินต่างประเทศมากเกินควร โดยตามประกาศฯ ได้กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าว ต้องไม่เกินร้อยละ 10
- กรอบสัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออก สินค้าและบริการ กำหนดเพื่อให้มีการรักษาความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ โดยตามประกาศฯ ได้กำหนดให้สัดส่วนดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละ 5
มติที่ประชุมคณะกรรมการฯ คณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2567 เมื่อ 19 ธ.ค. 67 ได้มีการพิจารณาทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัย การเงินการคลังฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 63.32 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 และยังสามารถรองรับการกู้เงินเพิ่มเติมตามแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569– 2572ได้ โดยยังเอื้อต่อการรักษาความสามารถในการชำระหนี้ตามมาตรฐานสากล จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 70
(2) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงการแพรระบาดของโรคติดเซื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้นมา ตามการกู้เงิน ของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการระดมทุนดังกล่าวต้องใช้เครื่องมือระยะสั้นในสัดส่วน ที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน ส่งผลให้หนี้มีการกระจุกตัว และทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมาก
โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 35.14 เกินกรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 35 และจากประมาณการตามแผนการคลังระยะ ปานกลาง ปีงบประมาณ 2569–2572 พบว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเกินกรอบที่ร้อยละ 35 อีกครั้ง ตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2570 เป็นต้นไป จึงเห็นควรขยายกรอบสัดส่วนจากเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 35 เป็นไม่เกิน ร้อยละ 50
ทั้งนี้ รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ ในอนาคตควบคู่ด้วย อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การก่อหนี้เพิ่มเติมเท่าที่จำเป็น การจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น
(3) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด ณสิ้นเดือน กันยายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.05 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 10 และยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 10
(4) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อรายได้จากการส่งออก สินค้าและบริการ โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 0.05 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบัน ที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 และยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 5
ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 11 (4) แห่ง พ.ร.บ. วินยการเงินการคลังฯ กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดสัดส่วนตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ
มาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ กำหนดให้คณะกรรมการฯ ประกาศ กำหนดสัดส่วนดังต่อไปนี้เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ (1) สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (2) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ (3) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด (4) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อรายได้จากการส่งออก สินค้าและบริการ
ทั้งนี้ แพทองธาร ชินวัตร มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 304/2567 มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 ก.ย. 2567 โดยได้มอบหมายและมอบอำนาจให้ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรในคณะกรรมการฯ
ธปท.แนะปรับสัดส่วนใหม่เพื่อสถานการณ์ดีขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง เนื่องจากเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ของรัฐ ครั้งที่ 4/2567 โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณเป็นการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณะให้เข้าใจถึงเหตุผลและ ความจำเป็นในการปรับเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ
ทั้งนี้ ควรให้ ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพื่อให้สามารถรักษาระดับความสามารถในการ ชำระหนี้และวินัยการเงินการคลังควบคู่กันไปด้วย และอาจพิจารณาทบทวนสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณตามความเหมาะสมเมื่อบริบทเปลี่ยนไป
สภาพัฒนฯหวังปรับแค่ชั่วคราว หวั่นกระทบความน่าเชื่อถือ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นว่า กรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ เป็นกรอบวินัยการเงินการคลังเพื่อรักษา ความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) ของรัฐบาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และควบคุมความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ (Refinancing risk) โดยการปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวจากเดิมไม่เกินร้อยละ 35 เป็นไม่เกินร้อยละ 50 อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวม ซึ่งยังคงมีแรงกดดันทางการคลังอยู่ในระดับสูง จากภาระหนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น สศช.เห็นว่า การปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบเป็นการชั่วคราว โดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนการจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดสรรงบชระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาล ให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระหนี้ของรัฐบาลในระยะต่อไปที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัย การเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป
ด้านสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนิน มาตรการต่าง ๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: