อันดับความน่าเชื่อถือของไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น เมื่อสถาบันจัดอันดับเครดิตเริ่มปรับมุมมองความน่าเชื่อถือเป็นเชิงลบ โดยเหตุผลมาจากความเสี่ยงด้านฐานะการคลัง ทำให้รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายทางการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง หรือ ต้องกู้เงินเพื่อมาใช้จ่าย ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
รัฐบาลขยับสัดส่วนการก่อหนี้ ตามมาตรา 50 ตามพ.ร.บ.วินัการเงินการคลัง แต่ที่ผ่านมา นับตั้งแต่โควิด-19 รัฐบาลเริ่มก่อหนี้มากขึ้นด้วยการกู้เงิน นอกจากการกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลแล้ว เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ทำให้กระทบรายได้ จนทำให้ต้องขยายเพดานก่อหนี้ มีความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น
มูดีส์ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) เป็น Negative Outlook โดยปรับลดลงต่อเนื่องในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอันดับเครดิตยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฐานะการคลังของประเทศ
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อของญี่ปุ่น กังวลอัตราการเกิดของไทยต่ำและสังคมสูงอายุ ฉุดการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว ส่วนเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะ ยังมั่นใจว่ารัฐบาลคุมอยู่ ไม่เกิน 70% ของจีดีพี
มูดี้ส์จัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยมี "เสถียรภาพ" แต่ยังกังวลการบริหารจัดการหนี้ แม้ไม่ห่วงเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ เช่นเดียวกับสถาบันการจัดอันดับอื่น ที่ประเมินว่าไทยยังไม่มีปัญหาการชำระหนี้ในระยะสั้น ท่ามกลางการขยายตัวเศรษฐกิจในเกณฑ์ต่ำ