Policy Watch นำบทความ จากมูลนิธิบูรณะนิเวศ เรื่อง PM 2.5 กับอุตสาหกรรม ตอนที่ 2: กรณีมลพิษอากาศอุตสาหกรรมในตำนาน โดย เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง และสุกรานต์ โรจนไพรวงศ์ โดยนำข้อมูลปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดจากภาคอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบรุนแรงกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง รวม 3 กรณี ได้แก่ เหมืองแร่ลิกไนต์และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่อุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร ดังนี้
มลพิษอากาศโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง
อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้า ที่ใช้พลังานจากถ่านหินลิกไนต์ และกรณีมลพิษอากาศจากเหมืองแร่ลิกไนต์และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นในลำดับแรก ๆ ของประเทศไทย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มต้นทำกิจการเหมืองลิกไนต์ในบริเวณ “แอ่งแม่เมาะ” จ.ลำปาง ตั้งแต่ปี 2497 ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้ลิกไนต์จากเหมืองเป็นเชื้อเพลิงนั้น ทยอยเปิดเดินเครื่องในพื้นที่ใกล้เคียงกันในปี 2515 และเปิดจนครบ 13 หน่วยเมื่อปี 2538 ด้วยกำลังการผลิตรวม 2,625 เมกะวัตต์
โดยปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ คือ ฝุ่นควันซัลเฟอร์ไดออกไซด์ การเกิดน้ำฝนเป็นกรด รวมถึงฝุ่นขี้เถ้าหลังการเผาไหม้ปริมาณมาก เกิดผลกระทบต่อประชาชาชนอย่างรุนแรงและเรื้อรัง จนต้องออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในหลากหลายรูปแบบ
การดำเนินงานของเหมืองและโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ก่อผลกระทบตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ซึ่งชุมชนที่ได้รับผลกระทบมีถึง 23 หมู่บ้าน 5 ตำบล โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศที่สะสมของสารพิษที่ไม่เคลื่อนตัวไปไหน เพราะสภาพภูมิประเทศบริเวณที่ตั้งโรงไฟฟ้าและเหมืองเป็นพื้นที่ราบมีภูเขาโอบล้อมเกือบรอบด้าน ประกอบกับสภาพอากาศในพื้นที่มีความกดอากาศค่อนข้างสูง อุณหภูมิผกผัน อากาศเคลื่อนตัวช้า เคลื่อนตัวจากบนลงสู่เบื้องล่าง อีกทั้งกิจกรรมของเหมืองและโรงไฟฟ้ายังก่อให้เกิดการแพร่กระจายของฝุ่นละอองด้วย
กระทั่งเดือน ต.ค. 2535 เกิดปรากฏการณ์ “ฝนกรด” เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมรัศมี 7 กิโลเมตรในเขต อ.แม่เมาะ จากการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide: SO2) ปริมาณมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทำให้ฝนที่ตกลงมาในช่วงเวลานั้นมีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่าน้ำฝนปกติ
ภาวะน้ำฝนเป็นกรดที่ อ.แม่เมาะ ทำลายต้นไม้ พืชผัก ข้าว จนเหี่ยวเฉา ใบหงิกงอ สัตว์เลี้ยงเป็นแผลเน่าเปื่อยและล้มตาย ส่วนชาวบ้านมีอาการแสบคันตามร่างกาย หายใจไม่สะดวก และเจ็บป่วยด้วยอาการต่าง ๆ มากกว่า 1,000 คน โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย จะมีอาการชัดเจนและเฉียบพลัน โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางรายงานจำนวนผู้ป่วยจากมลพิษเฉียบพลันว่า มีผู้ป่วยนอก 1,222 ราย ผู้ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 35 ราย และมีผู้ที่มารับการรักษากับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อีก 1,120 ราย
จากการตรวจวัดปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้า สู่บรรยากาศในช่วงนั้น พบค่าเฉลี่ยความเข้มข้นสูงถึง 3,418 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา 1 ชั่วโมง ของพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.แม่เมาะ ไว้ที่ไม่เกิน 1,300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นค่าความเข้มข้นที่สูงมากกว่าพื้นที่อื่น คือปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศของพื้นที่อื่นมีค่าความเข้มข้นเฉลี่ยได้ไม่เกิน 780 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น
ขณะนั้น กฟผ. ยอมรับว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากโรงไฟฟ้าไม่มีเครื่องตรวจจับและกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือเครื่อง FGD (Flue gas desulfurization System)
ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบรวม 16 หมู่บ้าน รวมตัวเรียกร้อง กฟผ.และภาครัฐ ให้รับผิดชอบเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นพร้อมดำเนินการแก้ไข หรือให้ช่วยอพยพ ชาวบ้านออกจากพื้นที่ จากนั้น กฟผ. ได้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ 10 หมู่บ้าน และหาที่ทำกินให้ใหม่ และจ่ายเงินชดเชย โดยให้เหตุผลในการอพยพ ว่าเป็นเพราะชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ราชพัสดุที่สงวนไว้เพื่อทำเหมืองแร่ ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ยินยอมอพยพถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่ดิน กฟผ.
มีเครื่องตรวจจับ แต่ปัญหามลพิษยังอยู่
รัฐบาลอนุมัติงบประมาณจัดซื้อเครื่อง FGD จำนวน 10 เครื่อง งบประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อให้ติดตั้งไว้ภายในโรงไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านโดยตรง และแม้ว่าจะมีการติดตั้งเครื่อง FGD แล้วเสร็จ เริ่มเครื่องเครื่องแรกกลางปี 2538 และเครื่องสุดท้ายต้นปี 2543 ไม่นานเครื่องตรวจวัดก็ชำรุดเสียหาย และในช่วงปี 2542-2543 กฟผ. ได้ยกเลิกการผลิตของโรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1 ถึง 3
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเครื่อง FGD ปัญหามลพิษก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก ส่งผลให้ชาวบ้านล้มป่วยกันอย่างกว้างขวาง และลุกลามไปสู่ปัญหาอื่น ทั้ง การอพยพชาวบ้าน ความขัดแย้งระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เกิดเป็นคดีความที่ผู้รับผลกระทบและผู้เจ็บป่วยได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในปี 2546 และ 2547 รวม 2 คดี โดยมี กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ถูกฟ้องคดีในฐานกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย
ผลการศึกษาร่วมกันของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เริ่มศึกษาในปี 2537 และติดตามต่อเนื่อง 5 ปี หลังจากที่เกิดเหตุการณ์มลพิษรุนแรงในปี 2535 มีผลการศึกษา คือ มลพิษอากาศที่ อ.แม่เมาะ กระทบต่อสุขภาพของประชาชน 16,101 คน จาก 4,677 ครอบครัว ใน 16 หมู่บ้าน ของ 3 ตำบล
โดยสาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศเกิดจากฝุ่นจำนวนมากในกระบวนการถลุงแร่ การขนส่งถ่านหินลิกไนต์ป้อนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ควันและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากการสันดาปในกองถ่านหินลิกไนต์จำนวนมากที่กองไว้กลางแจ้งเพื่อรอการขนย้าย การเผาไหม้ลิกไนต์เพื่อผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และฝุ่นเขม่าออกจากปล่องควันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมาก รวมถึงฝุ่นขี้เถ้าหลังการเผาไหม้ที่มีปริมาณมาก
มูลนิธิบูรณะนิเวช ระบุว่า ปัจจุบันหากสอบถามจากชาวบ้านในพื้นที่ พวกเขายืนยันว่าปัญหาที่แม่เมาะยังคงดำรงอยู่ โดยในส่วนปัญหามลพิษทางอากาศ ทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และฝุ่นละเอียด เช่นเดียวกับอาการเจ็บป่วยของชาวบ้าน ทั้งผื่นคันตามร่างกายและอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีความกดอากาศต่ำ จะมีปัญหาสารพิษในสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นดินหรือน้ำ
มลพิษอากาศนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
กรณีมลพิษทางอากาศในพื้นที่มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง เป็นอีกหนึ่งกรณีที่รุนแรง โดยมีตำบลใกล้เคียงเป็นเขตที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เกือบ 200 แห่ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงกลั่นน้ำมันและคลังน้ำมัน โรงแยกก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมเคมี เคมีภัณฑ์ พลาสติก อุตสาหกรรมแทนทาลัม
ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว เป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญของสารอันตรายกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds: VOCs) ซึ่งมีหลายชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เช่น เบนซีน 1,3-บิวทาไดอีน ฯลฯ รวมถึงปัญหาจากสารมลพิษทางอากาศชนิดอื่น ๆ ที่มีอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน สารที่เป็นองค์ประกอบของกำมะถัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในเขต อ.เมืองระยอง โดยรวมยังเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลากหลายชนิด มีโรงงานจำนวนถึง 1,366 แห่ง
ชาวบ้านมาบตาพุดเริ่มร้องเรียนปัญหามลพิษทางอากาศอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2540 โดยลักษณะปัญหาที่ประสบคือ การได้กลิ่นเหม็นรุนแรง ซึ่งชาวบ้านให้ชื่อเรียกแบบรู้กันเองภายในกลุ่มผู้รับผลกระทบ เช่น กลิ่นแอมโมเนีย กลิ่นแก๊ส กลิ่นซัลเฟอร์ฯ กลิ่นหอมเอียน กลิ่นฝรั่งสุก กลิ่นหัวไม้ขีด กลิ่นน้ำส้มเน่า และกลิ่นละมุด เป็นต้น
ในจำนวน 25 ชุมชนของเขตเทศบาลมาบตาพุด (ช่วงปี 2544-2546) มีถึง 20 ชุมชนที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศในระดับรุนแรง ความรุนแรงของมลพิษทางอากาศหรือกลิ่นเหม็นจากโรงงานที่ส่งผลต่อชุมชนส่วนมากขึ้นกับระยะห่างระหว่างโรงงานกับชุมชน โดยมีปัจจัยเรื่องทิศทางลมตามฤดูกาลเป็นตัวกำหนดสำคัญ
โดยขณะนั้นมีรายงานระบุว่า มลพิษทางอากาศบริเวณมาบตาพุดในบางช่วงเกินค่ามาตรฐานไปมาก เช่นกลางปี 2540 เป็นช่วงที่สภาพมลพิษอากาศเลวร้ายที่สุด เนื่องจากความกดอากาศต่ำ ดังนั้นจึงทำให้มีคนเจ็บป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะครูและนักเรียนโรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ที่เจ็บป่วยกันกะทันหันหลายร้อยคนจนต้องนำส่งโรงพยาบาล
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ทำให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานร่วม 4 หน่วยงาน แก้ไขปัญหา โดยทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้สั่งให้โรงงานหยุดการผลิตชั่วคราวและปรับปรุงเครื่องกรองมลพิษ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้ทุกห้องเรียนของโรงเรียน รวมทั้งมีการย้ายนักเรียนออกไปฝากเรียนที่อื่น แต่ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยในช่วงกลางปี 2541 ปัญหาก็ปะทุหนักอีก และเกิดเรื้อรังอยู่หลายปี จนมีการตัดสินใจย้ายที่ตั้งของโรงเรียนในที่สุด แต่ในส่วนของชุมชนทั้ง 25 แห่งนั้น ไม่มีการโยกย้ายไปไหน และยังคงต้องเผชิญปัญหาต่อไปจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
จากงานวิจัยของ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง และ วลัยพร มุขสุวรรณ ในนามกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม (กศอ.) เมื่อปี 2546 ระบุว่า ตัวแทนชุมชนในเทศบาลมาบตาพุดส่วนใหญ่ให้ข้อมูลตรงกันว่า กลิ่นเหม็นในบรรยากาศบริเวณมาบตาพุดทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ โดยลักษณะร่วมของคนส่วนใหญ่ ได้แก่ อึดอัด แสบจมูก คัน ขึ้นผื่น หายใจไม่ออก คลื่นเหียน อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ นอกจากนี้บางคนมีอาการซึม เพลีย ง่วงนอน หอบหืด รวมถึงอาการภูมิแพ้กำเริบ
แม้ผลการพิสูจน์ตรวจหาแหล่งที่มาของกลิ่นโดยตัวแทนชุมชนร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง นำมาสู่ผลสรุปว่า แหล่งกำเนิดกลิ่นส่วนใหญ่มาจากโรงงานปิโตรเคมี โรงงานเคมี และโรงกลั่นน้ำมัน แต่ช่วงระยะเวลาต้นทศวรรษ 2540 ยังไม่มีความชัดเจนว่า อากาศที่มาบตาพุดปนเปื้อนด้วยสิ่งใด จนกระทั่งในปี 2546 กศอ. ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นมูลนิธิบูรณะนิเวศ หรือ EARTH ได้ร่วมกับกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวชุมชนมาบตาพุด จัดตั้ง “หน่วยกระป๋องตรวจมลพิษอากาศ” (Thailand Bucket Brigade) เก็บตัวอย่างอากาศบริเวณมาบตาพุดส่งไปตรวจวิเคราะห์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กร Global Community Monitor (GCM) ซึ่งผลพบว่า มีสาร VOCs เช่น เบนซีน โทลูอีน สไตรีน รวมทั้งสารประกอบของซัลไฟด์ ปะปนอยู่ในตัวอย่างอากาศเป็นจำนวนมากถึง 21 ชนิด โดยมีหลายชนิดที่มีค่าสูงเกินกว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่ต่างชาติกำหนด ทั้งนี้ ในเวลานั้น ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานใดๆ ของ VOCs
ภายหลังได้มีการแถลงข่าว และเผยแพร่รายงานเรื่อง “อะไรอยู่ในอากาศ ความลับที่คนมาบตาพุดและคนไทยยังไม่รู้” นับเป็นครั้งแรกที่เกิดหลักฐานเชิงประจักษ์ขึ้นว่า ชาวมาบตาพุดต้องหายใจเอาอากาศที่เจือปนสารอันตรายเข้าปอดเกือบทุกวัน สารอันตรายนี้เป็นกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds หรือ VOCs) ซึ่งมีบางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง (carcinogen) เช่น สารเบนซีน ไวนิลคลอไรด์, 1,2 ไดคลอโรอีเธน, คลอโรฟอร์ม เป็นต้น
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความตื่นตัวของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง มีการเข้าตรวจวัดอากาศที่มาบตาพุดเพื่อตรวจหาสาร VOCs กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งผลคือพบสารเหล่านั้นมากกว่าที่ภาคประชาชนตรวจพบ จนในที่สุดจึงออกประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา 1 ปี เป็นครั้งแรกของประเทศไทย (สำหรับสารอินทรีย์ระเหยง่าย 9 ตัว) เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2550 และมีประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง กำหนดค่าเฝ้าระวังสำหรับสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา 24 ชั่วโมง (สำหรับสารอินทรีย์ระเหยง่าย 19 ตัว) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2551 ทั้งยังมีผลให้สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดติดตามตรวจวัดและควบคุมการปล่อยสารพิษกลุ่มนี้มากขึ้น และกรมควบคุมมลพิษได้ติดตั้งสถานีตรวจวัด VOCs ในเขต อ.เมืองระยอง เพื่อตรวจวัดสาร VOCs อย่างสม่ำเสมอ ภายหลังการประกาศเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ก็มีแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยอง ปี 2550 – 2554 ที่มีวงเงินดำเนินงานสูงกว่า 22,700 ล้านบาท
อุตสาหกรรมพัฒนาต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตมลพิษ
การพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและย่านใกล้เคียงยังคงขยายตัวและรุกคืบอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งการเกิดนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การขยายโรงงานเพิ่มภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว หรือแม้แต่การขยายกำลังการผลิตภายในโรงงานเดิม ทำให้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและกิจการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายเพิ่มเติมขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าพลังเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ
ภาคประชาชนจึงเกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายหยุดการขยายอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโครงการใหม่ที่ภาคเอกชนมีแผนจะสร้างเพิ่มเติมอีกหลายสิบแห่ง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหามลพิษอากาศอย่างจริงจัง จนนำมาสู่การฟ้องคดีปกครอง 2 คดีใหญ่
คดีแรก เป็นการฟ้องคดีของประชาชน 27 คนจาก 11 ชุมชน ในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2550 ผู้ถูกฟ้องคือ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานละเลยการประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ
ผลของคดี ทำให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษตามคำสั่งศาลปกครอง แต่ในทางคดีก็มีการต่อสู้กันจนถึงชั้นศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้มีคำพิพากษาออกมาเป็นที่สุดเมื่อปี 2560 เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าพื้นที่มาบตาพุดมีมลพิษร้ายแรงจริง จึงถือว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลยต่อหน้าที่ และต้องประกาศพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ยังคงมีการต่อสู้มาจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากรัฐบาลมีความพยายามที่จะเพิกถอนเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของการพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคประชาชน นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชนต่างเห็นว่า คุณภาพอากาศในพื้นที่มาบตาพุดอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ปัญหากลิ่นเหม็นสารเคมียังคงมีความรุนแรงอยู่
คดีที่สอง เป็นการฟ้องจากตัวแทนประชาชน 43 คน ที่เดือดร้อนจากมลพิษทางอากาศเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2552 โดยยื่นฟ้องหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนในฐานะผู้มีส่วนได้เสียจำนวน 36 บริษัท เพื่อขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งระงับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนในพื้นที่ จ.ระยอง จำนวน 76 โครงการ ประกอบด้วยโครงการอุตสาหกรรม 65 โครงการ โครงการคมนาคม 6 โครงการ และโครงการพลังงาน 5 โครงการ ตลอดจนมีการขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีการพิจารณาโครงการทั้งหมดให้ครบถ้วนตามมาตรา 67 ตามรัฐธรรมนูญ 50
ผลของคดี ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ ก.ย.2553 ให้เพิกถอนใบอนุญาต 2 โครงการ และได้ยกคำร้องที่เหลืออีก 74 โครงการ ทำให้โครงการส่วนใหญ่สามารถเดินหน้าต่อได้ตามปกติ รวมถึงโครงการโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ของ บมจ. ปตท. ด้วยเหตุผลว่า โครงการเหล่านี้เริ่มดำเนินการและมีการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนประกาศใช้มาตรา 67 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญ 50 จึงถือว่าภาครัฐดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอน ไม่ได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในการแก้ไขปัญหามลพิษแต่อย่างใด คดีนี้ยังทำให้เกิดผลต่อเนื่องทางนโยบายอีก 2 เรื่อง คือ
- มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 31 มี.ค. 2556 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร และ จ.ระยอง) โดยให้เข้มงวดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่ให้สอดคล้องกับผังเมือง สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จ. ฉะเชิงเทราและ จ.ปราจีนบุรี) และให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคม/เขตประกอบการอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้เกิดผลในทางปฏิบัติจริงอย่างมีนัยสำคัญใด ๆ โดยเฉพาะการลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
- เกิดโครงการพัฒนาระบบทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (JICA-PRTR) จังหวัดระยอง พ.ศ. 2554 หรือเรียกว่า “โครงการนำร่อง JICA-PRTR” เพื่อแก้ปัญหามลพิษอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง และเป็นกรอบที่สามารถนำไปสู่การพัฒนากฎหมายว่าด้วยการรายงานและการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงถึงชนิดและปริมาณของมลพิษ ที่มีการปลดปล่อยจากแหล่งกำเนิดสู่ตัวกลางสิ่งแวดล้อมทั้งด้านอากาศ ดิน น้ำ และข้อมูลปริมาณการเคลื่อนย้ายน้ำเสียและของเสียอุตสาหกรรมออกนอกสถานประกอบการเพื่อบำบัดหรือกำจัดของประเทศทั้งนี้ มีการบรรจุเรื่องการจัดทำกฎหมาย PRTR ไว้ในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
แต่รัฐบาลยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้เกิดกฎหมาย PRTR ตามหลักการที่ถูกต้องอย่างจริงจัง ซึ่งภาคประชาชน นำโดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม และกรีนพีซ ประเทศไทย ได้ร่วมกันเสนอร่าง พ.ร.บ.การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ… หรือ ร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน ด้วยการรวบรวมรายชื่อประชาชนหนึ่งหมื่นรายชื่อเพื่อยื่นร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร
ปัจจุบัน กรมควบคุมมลพิษยังคงตรวจพบสารเบนซีน และ 1,3-บิวทาไดอีน มีค่าสูงเกินมาตรฐานในบางจุดตรวจวัดของพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงในแต่ละปี และได้พยายามจัดทำ “ร่างมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งสารเบนซีน และสาร 1,3 บิวทาไดอีนในรูปอัตราการระบาย (loading) จากโรงงานอุตสาหกรรมเคมี” เพื่อควบคุมให้ลดการปล่อยสารอันตรายทั้งสองชนิดนี้ในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง ซึ่งคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาลได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 แต่ด้วยปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง ทำให้ยังไม่สามารถจัดทำร่างมาตรฐานดังกล่าวได้สำเร็จแม้เวลาได้ผ่านไปแล้วกว่า 10 ปี
กรณีมลพิษอากาศพื้นที่ จ.สมุทรสาคร
อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีปัญหาฝุ่น PM2.5 รุนแรงมากติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ เนื่องจากเป็นพื้นที่เขตรองรับการย้ายโรงงานออกจากกรุงเทพมหานครในยุคแรก และมีการขยายตัวมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นกระจุกตัวของโรงงานทุกขนาดและมีอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล ผลิตผลทางการเกษตร ไปจนถึงอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษทางอากาศรุนแรง เช่น อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมรีไซเคิลพลาสติก อุตสาหกรรมหล่อและหลอมโลหะ อโลหะ ฯลฯ
ซึ่งการเติบโตและการกระจายตัวของโรงงานในขณะนั้น ไม่ได้วางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสม ขาดระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการควบคุมมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบบำบัดมลพิษอากาศ และการจัดการขยะอุตสาหกรรม รวมถึงขยะชุมชนที่มีปริมาณพุ่งสูงขึ้นมากจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมือง
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงได้ออกประกาศในปี 2538 ให้ จ.สมุทรสาคร เป็นเขตควบคุมมลพิษพร้อมกับ จ.นนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม ปริมณฑลของกรุงเทพฯ ที่มีการขยายตัวรวดเร็วของโรงงานอุตสาหกรรมเช่นกัน เพื่อให้จังหวัดจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษจากน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ และเสียง มลพิษจากมูลฝอยและของเสียอันตราย รวมถึงมลพิษอื่น ๆ อย่างไรก็ดี นับจากปี 2538 จนถึงปัจจุบัน ปัญหามลพิษทุกด้านในจังหวัดสมุทรสาครไม่ได้ลดลง ในทางตรงกันข้ามกลับรุนแรงมากขึ้น
ปี 2564 โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อสุขภาวะองค์รวม หรือโครงการสมุทรสาครสีเขียว ของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทั้ง PM2.5 และ PM10 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมใน อ.เมืองสมุทรสาคร เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองทั้งสองประเภทมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับภาคการจราจรและขนส่ง การเผาขยะมูลฝอย และการเผาในที่โล่ง
ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดฝุ่น PM10 สูง 70,633 ตันต่อปี และฝุ่น PM2.5 สูง 44,228 ตันต่อปี ขณะที่ภาคการจราจรและขนส่ง ปล่อยฝุ่น PM10 จำนวน 203 ตันต่อปี และฝุ่น PM2.5 197 ตันต่อปี ตามด้วยการเผาขยะที่ปล่อย PM10 สูง 150 ตันต่อปี และ PM2.5 สูง 49 ตันต่อปี แหล่งกำเนิดที่ปล่อยน้อยที่สุดคือ การเผาในที่โล่ง คือ จำนวน PM10 เท่ากับ 1 ตันต่อปี และ PM2.5 เท่ากับ 0.94 ตันต่อปี เมื่อพิจารณาพื้นที่รวมทั้งจังหวัดแล้ว เห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดหลักของการปลดปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยพื้นที่วิกฤตที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ อ.เมืองสมุทรสาคร
จากตัวอย่าง 3 กรณีที่มูลนิธิบูรณะนิเวศนำเสนอ สะท้อนให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศที่เกิดจากอุตสาหกรรมเป็นปัญหาที่มีความร้ายแรง ทั้งยังมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และอาจมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่เพียงพอ ทำให้การเข้าถึงและเข้าใจปัญหามลพิษอากาศจากแหล่งอุตสาหกรรมของสังคมยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร
แหล่งอ้างอิง : https://earththailand.org/th/article/6823