ThaiPBS Logo

ตีกรอบทิศทางวิจัยการศึกษาแห่งชาติ แก้ปัญหางานวิจัย “ขึ้นหิ้ง”

15 พ.ค. 256810:00 น.
ตีกรอบทิศทางวิจัยการศึกษาแห่งชาติ แก้ปัญหางานวิจัย “ขึ้นหิ้ง”
รัฐบาลกำหนดทิศทางวิจัยการศึกษาของชาติปี 2568-2570 ครั้งแรก แก้ปัญหางานวิจัยด้านการศึกษาไร้ทิศทาง สะเปะสะปะ ไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคม จนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม ตีกรอบ 4 ด้าน จัดระบบโครงสร้างการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาใหม่

การประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) เมื่อ 13 พ.ค. 68 มีมติเห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ ปี 2568 –2570    (ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ) นับเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอกรอบทิศทางการวิจัย 4 ด้านใน 8 ประเด็น เพื่อมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานให้ทุน และหน่วยงานทำวิจัยทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ ไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ทุนและจัดทำงานวิจัยตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน

จากการประสานข้อมูลเมื่อ 5 ก.พ. 68 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ระบุว่า หน่วยงานให้ทุน เช่น สำนักงานส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

สาเหตุที่ต้องกำหนดกรอบทิศทางวิจัยแห่งชาติ เนื่องจากพบว่างานวิจัยที่มีอยู่เดิมที่มีจำนวนมากแต่ไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ส่งผลให้หน่วยงานระดับปฏิบัติไม่สามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ประกอบกับประเทศไทย ยังไม่เคยจัดทำทิศทางการวิจัยด้านการศึกษามาก่อน ดังนั้น การจัดทำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ จะเป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาการให้ทุนวิจัยแก่หน่วยงานทำวิจัยการศึกษา นำไปปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

สาระสำคัญทิศทางวิจัยแห่งชาติ

  1. การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิด ระบบ โครงสร้างและการจัดการศึกษาที่รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
  2.  การวิจัยเพื่อกำหนดระบบการผลิตและพัฒนาทักษะกำลังคน ผู้เรียน และบุคลากรทางการศึกษาที่มุ่งสู่การยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ
  3.  การวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการการศึกษา ที่มุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ
  4.   การวิจัยเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่สนับสนุนให้เกิดการศึกษาที่มีคุณภาพ ปราศจากความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งคณะกรรมการสภาการศึกษา โดยมีรัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อ 13 ธ.ค. 67

คลอบคลุมงานวิจัย 8 ประเด็น

กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้จัดทำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ มี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์ ความท้าทาย แนวโน้มและทิศทางการพัฒนาและการวิจัยทางการศึกษาของไทยและต่างประเทศ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ความต้องการ ประเด็นปัญหา และเป้าหมายทางการศึกษาที่จะนำไปสู่การพัฒนาเป็นงานวิจัยทางการศึกษา และเพื่อให้มีทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ ที่มีเป้าหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

 ประเด็นวิจัยทางการศึกษา ประกอบด้วย 4 ด้าน ร่วม 8 ประเด็น ดังนี้

ด้านที่ 1  การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิด ระบบ โครงสร้าง และการจัดการศึกษาที่รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ  เพื่อให้เกิดองค์ความรู้หรือข้อเสนอใหม่ในการพัฒนาการจัดการศึกษาให้รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทุกมิติ และมีระบบนิเวศทางการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลง

 (1 ) การเรียนรู้ตลอดชีวิต

  • เพื่อระบบส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  •  ระบบการศึกษาแบบไร้รอยต่อ
  • สภาพแวดล้อมและนิเวศการเรียนรู้
  • ธนาคารหน่วยกิต คือ ระบบทะเบียนสะสมหน่วยกิตและการเทียบโอนผลการเรียนรู้ที่ได้จากการศึกษาในระบบต่าง ๆ เช่น การศึกษาในระบบและนอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้จากการฝึกอบรม และผู้เรียนสามารถเทียบโอนหน่วยกิตระหว่างสถานศึกษาได้

ประเด็นการวิจัย เช่น คุณวุฒิฉบับย่อย มุ่งเน้นการเรียนและพัฒนาทักษะเฉพาะและจำเป็น โดยอาจมีหน่วยกิตการเรียน 5-25 หน่วยกิต  คุณวุฒินาโน มุ่งเน้นการเรียนและพัฒนาทักษะเฉพาะและจำเป็นในระยะเวลาสั้น ๆ โดยอาจมีหน่วยกิตการเรียน 1-4 หน่วยกิต เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาความรู้ที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการประกอบอาชีพ (ปัจจุบันได้มีการกำหนดจำนวนหน่วยกิตรวมในหลักสูตรการศึกษา ซึ่งรวมถึงหลักสูตรปริญญาตรีที่มีระยะการศึกษา 4 ปี มีหน่วยกิตการเรียนรวมไม่เกิน 120 หน่วยกิต) การเรียนรู้รูปแบบสั้น ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เน้นเนื้อหาเฉพาะเรื่อง ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตหรือการทำงานจริงได้ และเมืองแห่งการเรียนรู้

(2) การศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว  หมายถึง แนวทางการศึกษาและหลักสูตรที่ส่งเสริมความรู้ ทักษะและจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมความยั่งยืน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  •  นโยบายการศึกษาสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อสังคมสีเขียวและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  •  การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีทัศนคติและทักษะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรมด้านหลักสูตร สื่อ และการจัดการเรียนการสอนเพื่อสังคมสีเขียว

ด้านที่ 2 การวิจัยเพื่อกำหนดระบบการผลิตและพัฒนาทักษะกำลังคน ผู้เรียน และบุคลากร  เพื่อให้เกิดองค์ความรู้หรือข้อเสนอใหม่ที่ใช้ในการพัฒนาทักษะของรู้เรียนทุกช่วงวัยรวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาทุกประเภท ที่เพียงพอในการยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ

 (1) การพัฒนาทักษะที่จำเป็น

  •  ทักษะในอนาคตที่ประเทศมีความต้องการ
  •  ระบบการส่งต่อและเชื่อมโยงในการพัฒนาทักษะ
  • ความท้าทายและโอกาสด้านทักษะ
  • การฝึกงาน
  • การปรับหลักสูตรเพื่อมุ่งเน้นทักษะและสมรรถนะ
  • การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ

เช่น  นวัตกรรมระบบการพัฒนาทักษะใหม่(Re-Skills) และการยกระดับทักษะเดิม(Up-Skills) ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน และ ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่เกิดขึ้นใหม่ ๆและ นวัตกรรมหลักสูตรและการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นทักษะและสมรรถนะ

(2) ความเป็นพลเมืองและพลโลก หมายถึง การพัฒนาความรู้ ทักษะ และค่านิยมที่จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบในชุมชนประเทศ และโลก ส่งเสริมความข้ามในความหลากหลายทางวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมที่ยังยืน

  • คุณลักษณะและการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองและพลโลก
  • การบูรณาการการบ่มเพาะความเป็นพลเมืองและพลโลกในหลักสูตรและการเรียนการสอนฃ
  • พลเมืองดิจิทัล
  • ช่องว่างระหว่างรุ่น
  • การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม

ด้านที่ 3 การวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการการศึกษาที่มุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้หรือข้อเสนอใหม่ในการพัฒนาการบริหารจัดการการศึกษา รวมถึงการบริหารจัดการระบบนิเวศทางการศึกษาที่นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ

1) การศึกษาที่มีคุณภาพ    

  •  การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
  • การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
  • นวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อรองรับ
  •   รูปแบบการศึกษาที่หลากหลาย

เช่น นวัตกรรมการเรียนการสอน นวัตกรรมการแนะแนว ,นวัตกรรมการติดตามประเมินผล ,แพลตฟอร์มการศึกษา

2) ความเสมอภาค – ลดความเหลื่อมล้ำ

  • ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทโรงเรียน/พื้นที่
  • ระบบการดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
  • การมีส่วนร่วมและบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการจัดการศึกษา
  •  การกระจายทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
  • มาตรการเชิงระบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียน
  • นวัตกรรมสนับสนุนการเข้าถึงการเรียนรู้
  • นวัตกรรมการเงินเพื่อการศึกษา

3) ประสิทธิภาพทางการศึกษา

  • การลงทุน การจัดสรรและการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพและได้ประโยชน์สูงสุด
  • การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆในการลงทุนเพื่อการศึกษา เช่น นวัตกรรมการเงินเพื่อการศึกษา
  • ช่องว่างระหว่างรุ่นและการปิดช่องว่างระหว่างรุ่น
  • การฟื้นฟูภาวะการเรียนรู้ถดถอย

ปัจจุบันมีหน่วยงานที่พัฒนาทักษะทางการเงินให้แก่บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินโครงการครูสตางค์ เพื่อพัฒนาและสร้างเครือข่ายครูแกนนำที่มีประสบการณ์ในการนำความรู้ทางการเงินไปประยุกต์ใช้ในห้องเรียนจริง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างห้องเรียนการเงินในสถานศึกษาเพื่อสร้างเกราะป้องกันทางการเงินให้แก่เด็กไทยและต่อยอดสู่ความเป็นอยู่ทางการเงินที่ดีตลอดชีวิต (ข้อมูลจาก www.bot.or.th) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ดำเนินการให้ทุนเสมอภาคเพื่อสนับสนุนค่าครองชีพ ค่าอาหาร และค่ากิจกรรมต่าง ๆ แก่นักเรียนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของนวัตกรรมทางการเงินเพื่อการศึกษา (ข้อมูลจาก www.eef.or.th)

ด้านที่ 4 การวิจัยเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่สนับสนุนให้เกิดการศึกษาที่มีคุณภาพปราศจากความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดองค์ความรู้หรือข้อเสนอใหม่ที่เอื้อให้เกิดระบบนิเวศทางการศึกษาที่เหมาะสมกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน

1 )เทคโนโลยี เพื่อการศึกษา/การเรียนรู้

  •   โอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน
  • การบูรณาการเทคโนโลยีกับการเรียนการสอน
  • ความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี
  •  ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence: AI)
  • การวัดผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้สนับสนุนครูและนักเรียน เช่น การนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้
  • การพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรที่มุ่งเน้น ทักษะและสมรรถนะด้านสื่อเทคโนโลยีและ AI เพื่อการเรียนรู้

ข้อเสนอแนะเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ

1 .การวางแผน (P-Planning)    

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)  เสนอคณะกรรมการสภาการศึกษาและคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาฯ (เสนอในครั้งนี้) และจะเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหรือประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้นำไปใช้ในการกำหนดแผนและขับเคลื่อนทิศทางการวิจัยทางการศึกษา โดยหน่วยงานที่มีภารกิจและเกี่ยวข้องในการวิจัยทางการศึกษา จัดทำแผนการวิจัยที่สอดคล้องกับทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ

2.การจัดการและการจัดองค์กร (O-Organization)

สกศ. จัดให้มีเวทีการหารือเชิงนโยบายของหน่วยงานให้ทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อสนับสนุนทุนวิจัยที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อสร้างความร่วมมือและขยายความร่วมมือไปสู่การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อพัฒนากลไกในการบูรณาการและประสานความร่วมมือในระบบการวิจัยทางการศึกษา

  •  หน่วยงานให้ทุนวิจัย8 และ สกศ. ส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัยและบุคลากรในระดับอุดมศึกษาให้มีส่วนร่วมในการวิจัยเชิงนโยบายกับภาครัฐมากยิ่งขึ้น
  •  หน่วยงานที่มีภารกิจและเกี่ยวข้องในการวิจัยทางการศึกษากำหนดบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินงานวิจัยทางการศึกษาอย่างชัดเจนและเหมาะสม

3.การนำ(L-Leading)

  • สกศ. จัดให้มีเวทีหรือแพลตฟอร์มเพื่อขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงานมากขึ้น ส่งผลให้สามารถผลิตงานวิจัยที่สอดคล้องกับการใช้งานได้
  • หน่วยงานที่มีการวิจัยทางการศึกษา ควรกำหนดแรงจูงใจ การออกแบบงานไว้ในแผนเพื่อการบรรลุเป้าหมาย

4.การควบคุม(C-Controlling)

สกศ. ร่วมกับหน่วยงานให้ทุนวิจัยและสถาบันอุดมศึกษาในการส่งเสริมการพัฒนาการวิจัยทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป

  • สกศ. ติดตามผล รายงานผล และประเมินผลในภาพรวม
  • หน่วยงานที่มีโครงการวิจัยทางการศึกษาติดตามผล รายงานผล และประเมินผลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการประสานข้อมูลเมื่อ 6 ก.พ.68 สกศ. แจ้งว่า (1) หน่วยงานที่มีภารกิจและเกี่ยวข้องในการวิจัยทางการศึกษา คือ หน่วยงานที่มีภารกิจการวิจัยโดยตรง เช่น สกศ. (2) หน่วยงานให้ทุนวิจัย คือ หน่วยงานที่มีการจัดสรรทุนให้กับผู้วิจัย เช่น สกสว. วช. และ (3) หน่วยงานที่มีการวิจัยทางการศึกษา คือ หน่วยงานที่ไม่มีภารกิจการวิจัยโดยตรงแต่เป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านการวิจัยทางการศึกษาเช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน

ประโยชน์และผลกระทบที่เกิดขึ้น

หลังจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการลงในราชกิจจานุเบกษา ทำให้หน่วยงานปฎิบัติด้านการศึกษามี ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งผลให้หน่วยงาน/ผู้ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำวิจัยอย่างเป็นระบบ มุ่งไปทิศทางเดียวกันตอบโจทย์ความต้องการทางการศึกษาอย่างแท้จริง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

ความยากจนเกษตรกรไทย ฉุดคุณภาพชีวิตเด็ก

พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ รอมานาน 26 ปี..ยังต้องรอต่อไป

คนหนีหลักสูตรการศึกษาไทย แห่ส่งลูกเรียนอินเตอร์

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

การปฏิรูปการศึกษา

นโยบาย ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะมาแทนที่ฉบับเก่าปี พ.ศ. 2542 มุ่งสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุมทุกช่วงวัยและหลักสูตรที่เท่าทันโลก รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างองค์กรทางการศึกษาให้สอดรับกับ “การปฏิรูปการศึกษา” ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ล่าสุดยังอยู่ในขั้นตอนการประชาพิจารณ์

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

การเรียนรู้ตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้ตีกรอบอยู่ในห้องเรียน แต่คนทุกช่วงวัยสามารถพัฒนาทักษะให้ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ได้ตลอดชีวิต รัฐบาลจึงประกาศให้เป็นนโยบายสำคัญ ควบคู่กับ พ.ร.บ. ส่งเสริมการเรียนรู้ ปี 2566 ที่ยกฐานะสำนักงาน กศน. สู่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ หวังยกระดับการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: