รัฐบาลภูมิใจไทย เตรียมนำโครงการ “คนละครึ่ง” ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาทำใหม่ ในชื่อโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ปี 2568 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในระยะสั้น รวมถึงเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลพร้อมทำได้ในทันที
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการคนละครึ่งพลัส ปี 2568 ในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะเริ่มใช้วันแรก 29 ต.ค.นี้ และใช้จ่ายถึงธ.ค. 68
ใครได้สิทธิคนละครึ่งพลัส
โครงการคนละครึ่งพลัส ปี 2568 รัฐบาลคาดว่าในเฟสแรกจะสามารถเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. และใช้จ่ายในเดือน พ.ย. – ธ.ค. 68 โดยกลุ่มที่จะได้รับสิทธิ มีดังนี้
- กลุ่มผู้มีรายได้ที่อยู่ในระบบภาษี จำนวนประมาณ 9 ล้านคน ได้เงินคนละ 2,400 บาท สามารถใช้จ่ายได้ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน โดยรัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40%
- ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี จำนวนประมาณ 11 ล้านคน ได้เงินคนละ 2,000 บาท สามารถใช้จ่ายได้ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน โดยรัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50%
- กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ(บัตรคนจน) จำนวนประมาณ 13 ล้านคน จะได้รับเป็นเงินสดโอนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มอีก 1,700 บาท แบ่งจ่ายเป็น 2 งวดรวมกับของเดิม 300 บาท จะได้เดือนละ 1,150 บาท เริ่มตั้งแต่ พ.ย.-ธ.ค. และสามารถกดเงินสดออกมาใช้จ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องร่วมจ่ายคนละครึ่ง
เริ่มลงทะเบียนเมื่อไหร่
การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งพลัส จะเริ่มประมาณเดือน ต.ค.68 โดยจะแบ่งการลงทะเบียนออกเป็น 2 แบบ
- ผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งมาก่อน ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ คาดว่าสามารถยืนยันสิทธิผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ได้ทันที
- ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการ คาดว่าต้องลงทะเบียนใหม่ผ่าน เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ แอปพลิเคชันเป๋าตัง
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งพลัส ต้องรอติดตามรายละเอียดความคืบหน้าจากรัฐบาลอีกครั้ง เนื่องจากโครงการยังอยู่ในกระบวนการจัดทำของกระทรวงการคลังที่จะต้องกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ของโครงการให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค. นี้
“ใครหนุน-ใครค้าน” มาตรการคนละครึ่ง
มาตรการคนละครึ่ง เป็น “มาตรการกระตุ้นรายจ่าย” ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อกระตุ้นรายจ่ายจากผลกระทบปิดประเทศรับมือโควิด-19 ก่อนจะกลายเป็น “ดิจิทัลวอลเล็ต” ในรัฐบาลเพื่อไทย และกลับมาใช้ชื่อเดิมในสมัยรัฐบาลภูมิใจไทย เติมคำใหม่ไปกว่า “คนละครึ่งพลัส”
“คนละครึ่งพลัส” มีทั้งคนที่เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย ขึ้นกับมุมมองแต่ละคนว่าจุดยืนเป็นอย่างไร แต่ในส่วนของประชาชนทั่วไป มักจะชื่นชอบกับมาตรการนี้ ดังคำของพล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า “ประชาชนชอบ”
พรรคประชาชนห่วงกระทบฐานะการคลัง
ในช่วงการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งข้อสงสัยถึงความเหมาะสมของงบประมาณ 66,400 ล้านบาท ที่จะใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัส โดยใช้เงินจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลือประมาณ 22,400 ล้านบาท และงบประมาณปี 69 อีกราว 44,000 ล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของกระสุนการคลังที่เหลืออยู่ และรัฐบาลมีแผนจะทำโครงการเฟสสอง ในเรื่องการลดค่าใช้จ่าย เยียวยาจะผลกระทบภาษีสหรัฐอเมริกา และฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจทำให้ไม่เหลือเงินสำรองไปถึงรัฐบาลหน้า
“ถ้าใช้หมดตามที่ตั้งงบไว้ ยอดหนี้สาธารณะจะขึ้นไปถึง 66% ณ สิ้นปีงบ 68” ศิริกัญญา กล่าว
ทั้งนี้โครงการคนละครึ่ง แม้พิสูจน์มาแล้วว่ากระตุ้นยอดขายร้านค้ารายย่อยได้ แต่ยังไม่ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะต้องปรับปรุงเงื่อนไข เช่น กำหนดค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 200 บาทขึ้นไป กำหนดเวลาใช้สิทธิวันต่อวัน เพื่อจูงใจให้ใช้สิทธิเร็วขึ้น และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ในส่วนการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มองว่าไม่ตอบโจทย์ เพราะถูกพิสูจน์มาแล้วจากการแจกเงินหมื่น หากอยากดูแลกลุ่มเปราะบางก็สามารถให้กลุ่มนี้เข้าโครงการคนละครึ่งได้เช่นกัน ไม่ได้มีข้อห้าม โดยอาจปรับเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม ศิริกัญญา ตั้งข้อสงสัยว่าการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านโครงการคนละครึ่ง จะเป็นการหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็น
แบงก์ชาติมองกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้โครงการคนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจได้เล็กน้อย โดย ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษก ธปท. ประเมินว่าคนละครึ่งทั้งสองเฟส ที่จะใช้เงินทั้งหมด 66,400 ล้านบาท คิดเป็นขนาด 0.4% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมของทั้งประเทศ (Nominal GDP) ซึ่งช่วยในเรื่องกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและอาจมีรั่วไหลออกประเทศบ้างผ่านสินค้านำเข้า แต่ผลของการกระตุ้นอาจไม่ถึง 0.4% ของขนาดเศรษฐกิจ เพราะเป็นมาตรการประเภทเงินโอนที่ไม่ได้สร้างงานและเพิ่มรายได้
อย่างไรก็มาตรการจะส่งผลดีมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้จ่ายของประชาชนด้วย จึงต้องประเมินสถานการณ์ต่อไป
เอกชนหนุนคนละครึ่งดันค้าขายคึกคัก
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวกับ “ไทยพีบีเอสออนไลน์” ว่า เห็นด้วยกับการฟื้นโครงการคนละครึ่ง ที่ผ่านมาภาคเอกชนมีการเรียกร้องให้รัฐบาลนำโครงการคนละครึ่งกลับมาหรือมาตรการที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนให้เกิดการใช้จ่าย แม้ว่าจะเป็นการกระตุ้นในระยะสั้น แต่ถือว่าเป็นโครงการที่ดีต่อประชาชนและร้านค้า ทำให้การค้าขายมีความคึกคักมากขึ้น เพราะเห็นผลเร็วและทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้ แต่รัฐบาลก็ควรมีมาตรการระยะกลางและระยะยาวรองรับเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาติ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับโครงการ “คนละครึ่ง” ว่า โครงการคนละครึ่งคือก้าวแรกของความตั้งใจที่จะสร้างระบบสวัสดิการแห่งรัฐที่ตรงจุดและยั่งยืน เพราะโครงการเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตโควิด เนื่องจากรัฐบาลต้องหาทางช่วยประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและร้านค้าธุรกิจเล็กให้พอประคองตัวไปได้ แต่เจตนาที่แท้จริงไม่ใช่การแจกอย่างเดียว
ด้านประชาชน : ลดภาระค่าครองชีพ โดยออกแบบให้ไม่ใช่แค่รอรับเงิน แต่ต้องมีแรงจูงใจให้ออกมาทำงานและพัฒนาตัวเอง ด้านร้านค้า : เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าระบบ ได้แต้มต่อในการแข่งขันกับธุรกิจใหญ่ และด้านรัฐ : ดึงเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบและวางรากฐานภาษี
หลักคิดสำคัญ คือ “ประชาชนลดภาระ ร้านค้าเพิ่มรายได้” รวมทั้งเป็นการทดสอบว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่ รัฐสวัสดิการแบบยั่งยืน โปร่งใส โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนได้อย่างไร เพื่อให้การช่วยเหลือตรงจุด โครงการถูกออกแบบโดยมี 3 แกนหลักของแนวคิดคือฝั่งประชาชน โดยควรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มรายได้น้อย ได้สิทธิ์ในรูปแบบที่ช่วยลดต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน เช่น ช่วย ค่าเดินทางสาธารณะ ปัจจัยยังชีพ สำหรับคนเมือง หรือ แจก ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ให้กับเกษตรกร โดยไม่ต้องร่วมจ่าย (point system)
- กลุ่มคนชั้นกลาง-ใช้ระบบ co-payment แต่ไม่ถึง 50 ต่อ 50 เช่น 30 ต่อ 70 สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหารและยา
- กลุ่มผู้มีรายได้สูง จ่ายภาษี – ได้สิทธิ์คืนภาษีคล้าย “ช้อปช่วยชาติ” (tax rebate) แต่เจาะจงให้นำสิทธิไปใช้กับสินค้าไทย หรือใช้กับธุรกิจ SME
นอกจากนี้โครงการตั้งใจสร้างแต้มต่อให้กับร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กของไทย ไม่ใช่ช่วยรายใหญ่ จึงเสนอแนวคิดกำหนดเพดานสิทธิ์ และบังคับให้ร้านเข้าระบบภาษี เพื่อดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบที่โปร่งใสและยั่งยืนให้คนได้ดี
สำหรับด้านงบประมาณ ในระยะยาวเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รัฐต้องสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะการปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้เป็นมัลติเทียร์ (multi-tier) เหมือนหลายประเทศที่ใช้ เพื่อให้ระบบการคลังแข็งแรงขึ้น และให้โครงการสวัสดิการดำเนินต่อไปได้ โดยไม่กลายเป็นภาระการคลังในอนาคต ด้วยการต่อยอดสู่ Negative Income Tax (NIT), การปฏิรูปภาษี และระบบลงทะเบียนที่รอบด้าน รัดกุม ยิ่งขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง: