นโยบายเรือธงหลายเรื่องที่เคยถูกประกาศด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการลดภาระค่าครองชีพ กลับถูกเลื่อนออกไปเพราะเงื่อนไขทางกฎหมาย งบประมาณ หรือการบริหารจัดการที่ไม่รอบคอบ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการประกาศนโยบายโดยไม่เตรียมแผนรองรับที่ชัดเจน ทำให้ความหวังของประชาชนกลายเป็นความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้การที่รัฐบาลออกมาออกมาแสดงความเสียใจหรือ “ขอโทษ” ต่อประชาชนจะถือเป็นสัญญาณเชิงบวกในระดับหนึ่งในแง่การแสดงความรับผิดชอบ เพราะสะท้อนว่าผู้มีอำนาจเริ่มยอมรับต่อความผิดพลาดหรือความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย
แต่คำขอโทษเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ หากปราศจากแผนการดำเนินการต่อเนื่องที่ชัดเจนว่าจะเร่งรัดอย่างไร จึงจะทำให้นโยบายเป็นจริงได้ทันเวลา ประชาชนไม่ได้รอฟังคำปลอบใจ แต่ต้องการรู้ว่า “จากนี้จะทำอย่างไรให้สำเร็จ” และ “เมื่อไรจะเห็นผล”
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายควรให้กับประชาชนจึงต้องไม่ใช่คำปลอบใจ แต่คือ “ขั้นตอนถัดไป” ที่เป็นรูปธรรมและสามารถตรวจสอบได้
มิเช่นนั้น คำพูดก็จะกลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ใช้เพื่อบรรเทาสถานการณ์ชั่วคราว โดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในทางปฏิบัติ
สัญญาที่กลวงเปล่าคือภาพสะท้อนของความล้มเหลวในฐานะ “ผู้รักษาสัญญา”
หนึ่งในข้อวิจารณ์ที่หนักที่สุดต่อรัฐบาลเวลานี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขา “ไม่มีผลงาน” แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ได้ต่างหาก สัญญาที่เคยเป็นธงนำหาเสียงกลับกลายเป็นภาระที่สะท้อนถึงความไม่รอบคอบ ความไม่มั่นคงทางอุดมการณ์ และความล้มเหลวในการบริหารจัดการทางการเมือง
นโยบาย “Digital Wallet 10,000 บาท” ซึ่งควรจะเป็นจุดขายใหญ่ที่สุด กลับติดปัญหาทางกฎหมายและงบประมาณ แถมยังถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่าและความจำเป็น นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ก็ไม่ต่างกัน ที่แม้จะเคยประกาศชัดเจนว่าจะเริ่มใช้ในเร็ววันนี้ แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไปเพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งที่รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ยากที่จะทำให้เสร็จทันเวลา แต่ก็ยังเลือกประกาศวันเริ่มต้นราวกับต้องการ “ซื้อใจประชาชน” มากกว่าจะจริงใจในความเป็นไปได้
ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญและการปฏิรูปกฎหมายซึ่งเป็นความหวังของประชาชนสายประชาธิปไตย ก็ยังไร้ความคืบหน้า ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าคำสัญญาทางการเมืองเหล่านี้กำลังกลายเป็นเพียงเครื่องมือหาเสียง ไม่ใช่เป้าหมายที่รัฐบาลจริงจังจะทำให้เกิดขึ้นจริง
ในทางการเมือง การตัดสินใจจับมือกับพรรคร่วมที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งอย่างเข้มข้น ก็ยิ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกถูกหักหลัง การได้อำนาจมาแลกกับการลดทอนอุดมการณ์ กลายเป็นรอยแผลลึกที่ทำลายความเชื่อมั่นในพรรคที่เคยถูกมองว่าเก่งเรื่องเศรษฐกิจและใส่ใจประชาชน
ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้เพียงล้มเหลวในการทำงานเชิงเทคนิค แต่ล้มเหลวในฐานะ “ผู้รักษาสัญญา” ที่ประชาชนฝากความหวังไว้
คำถามที่ยังไร้คำตอบ
เมื่อมองไปข้างหน้า สิ่งที่สังคมต้องการไม่ใช่คำแก้ตัว แต่คือคำตอบที่จริงใจและชัดเชน เช่น
- ทำไมรัฐบาลจึงกล้าประกาศกำหนดวันเริ่มนโยบาย ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้?
- ความผิดพลาดในการสื่อสารต่อสาธารณะเป็นเพียงความสะเพร่าหรือเป็นความตั้งใจที่จะบิดเบือน?
- การจับมือกับคู่ขัดแย้งทางการเมือง คุ้มค่ากับการสูญเสียความน่าเชื่อถือหรือไม่?
- ใครจะรับผิดชอบต่อประชาชนที่ต้องจ่ายค่าเสียโอกาสในช่วงรอยต่อเพราะความล่าช้าของรัฐบาลเอง?
- และสำคัญที่สุด หากนโยบายเรือธงที่หาเสียงมาด้วยแรงศรัทธายังทำไม่ได้ ประชาชนจะมีเหตุผลใดเหลืออยู่ที่จะเชื่อมั่นในสัญญาอื่นๆ ต่อไป?
รัฐบาลอาจยังเหลือเวลา แต่ความเชื่อมั่นที่สูญเสียไปทุกวันนั้นกำลังยากจะกู้คืน คำถามคือ รัฐบาลยังเหลืออะไรให้ประชาชนหวังอีกหรือไม่? หรือพวกเขาจะมีแนวทางที่แสดงให้เห็นถึงการรักษาสัญญาได้อย่างไร?
แนวทางที่ควรทำเพื่อรักษาสัญญา
หากรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายจริงใจต่อคำสัญญาของตนเอง จำเป็นต้อง
- สื่อสารตรงไปตรงมา: บอกข้อจำกัด เงื่อนไข และกรอบเวลาอย่างซื่อสัตย์ ไม่ควรประกาศวันเริ่มต้นเพียงเพื่อสร้างภาพทางการเมือง
- จัดทำแผนสำรอง: หากกฎหมายล่าช้า ต้องมีมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอุดหนุนค่าโดยสารชั่วคราว หรือการลดภาระค่าครองชีพในรูปแบบอื่น
- ใช้กลไกสภาอย่างเต็มศักยภาพ: ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลต้องเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงและเร่งผลักดันกฎหมายด้วยความรับผิดชอบ ไม่ปล่อยให้การเมืองภายในกลายเป็นอุปสรรค
- ตั้งระบบติดตามและประเมินผล: เปิดเผยความคืบหน้าตามไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ให้ประชาชนตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส
ทำอย่างไรให้คำพูดสอดคล้องกับการกระทำ
ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เพียงความล่าช้า แต่คือประเทศไทยยังขาดกลไกการตรวจสอบและรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่แข็งแรง หากมองไปยังต่างประเทศ จะพบว่ามีหลายระบบที่ช่วยให้ “คำพูดของนักการเมือง” ไม่กลายเป็นเพียงวาทกรรมเลื่อนลอย เช่น
- สหราชอาณาจักร มีการจัดทำ Ministerial Code และระบบ Parliamentary Select Committees ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติของตัวรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง
- แคนาดา มีการกำหนด Mandate Letters ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้รัฐมนตรีทุกคน โดยระบุเป้าหมายเชิงนโยบายและประชาชนสามารถติดตามความก้าวหน้าได้แบบสาธารณะ
- ออสเตรเลีย มีระบบ Performance Reporting ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งบังคับให้มีการรายงานผลการดำเนินนโยบายเชื่อมโยงกับงบประมาณอย่างโปร่งใส
กลไกเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “การขอโทษ” หรือ “คำสัญญา” ของรัฐบาลจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงกับโครงสร้างตรวจสอบที่โปร่งใส ชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ใช่ปล่อยให้คำพูดสูญหายไปตามวาระทางการเมือง
ดังนั้น หากรัฐบาลไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่น คำขอโทษต้องตามมาด้วย
- แผนปฏิบัติการที่ชัดเจน มีกรอบเวลาและตัวชี้วัด
- การติดตามและรายงานต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
- กลไกตรวจสอบภายนอก เช่น คณะกรรมการอิสระ หรือการเปิดเผยข้อมูลให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทอย่างจริงจัง
- วัฒนธรรมการเมืองที่เน้นความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์
การสร้างระบบเช่นนี้จะทำให้คำพูดของนักการเมืองไม่กลายเป็นเพียง “คำขอโทษที่สวยงาม” แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานประชาธิปไตยและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในสายตาประชาชน
เพื่อยกระดับกลไกการตรวจสอบและรับผิดชอบต่อคำสัญญาของนักการเมือง คำถามที่สังคมควรถามต่อ คือ
- หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำตามนโยบายเรือธงได้จริง จะมีอะไรรับประกันได้ว่านโยบายอื่นๆ จะไม่กลายเป็นเพียงวาทกรรมซ้ำอีก?
- เราจำเป็นต้องปฏิรูประบบติดตามนโยบายอย่างไร เพื่อไม่ให้ “สัญญาทางการเมือง” กลายเป็นเพียงการตลาดทางการเลือกตั้ง?
- และสำคัญที่สุด หากวันนี้คำสัญญายังไม่สอดคล้องกับการกระทำ วันหน้าประชาชนจะยังมีเหตุผลใดที่จะเชื่อใจนักการเมือง?
ร่วมติดตามคำสัญญาและนโยบายสาธารณะได้ที่แพลตฟอร์มในประเทศอย่าง Parliament Watch โดย WeVis (https://parliamentwatch.wevis.info) หรือ Policy Watch โดย ThaiPBS (https://policywatch.thaipbs.or.th) เพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยกระบวนการนโยบายสาธารณะ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ชดเชยรถไฟฟ้า 20 บาทเท่าไรจะพอ? เมื่อรัฐบาลเคาะงบ 5 พันล้านบาท
เช็กเงื่อนไข รถไฟฟ้าทุกสาย 20บาท เริ่มใช้ 30 ก.ย. 68
สุริยะขอโทษ รถไฟฟ้า 20 บาทเลื่อนเป็น 15 พ.ย. เหตุติดขัดกฎหมาย