คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) แถลงยืนยันต่อรัฐสภายุโรป (European Parliament) ว่ากำลังติดตามกระบวนการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. …ของไทยอย่างใกล้ชิด
พร้อมเตือนว่าหากร่าง พ.ร.บ.ประมง ผ่อนปรนข้อบังคับที่อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย คณะกรรมาธิการยุโรปพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ นอกจากนี้ยังเปิดเผยด้วยว่าคณะกรรมาธิการยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการประเมินผลกระทบด้านความยั่งยืนจากร่างความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (Thai-EU FTA)
ก่อนหน้านี้ นายนิโคลัส กอนซาเลซ กาซาเรส (Nicolás González Casares) สมาชิกรัฐสภายุโรปชาวสเปนจากพรรคแรงงานสังคมนิยมสเปน (Partido Socialista Obrero Españo) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรก้าวหน้าของสังคมนิยมและประชาธิปไตยยื่นกระทู้ถามคณะกรรมาธิการยุโรปเรื่องท่าทีต่อร่าง พ.ร.บ.ประมง ของไทย
อ่านข่าวเพิ่มเติม: สภายุโรปชงกมธ.อียู ถกประเด็นไทยแก้กฎหมายประมง
โคสตาส คาดิส (Costas Kadis) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปด้านการประมงและมหาสมุทร (European Commissioner for Fisheries and Oceans) เป็นผู้แทนตอบกระทู้รัฐสภายุโรป ระบุว่าประเทศไทยได้รับแจ้งเตือนอย่างชัดเจนหลายครั้งแล้วว่า การผ่อนปรนกฎหมายที่มีเจตจำนงยุติการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ที่บังคับใช้ในปัจจุบันจะไม่เป็นที่ยอมรับ และหากเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเหล่านี้กระทบต่อความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา IUU สหภาพยุโรปจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อตอบโต้
มาตรการที่อ้างถึงนี้ หมายถึง การใช้ข้อบังคับ IUU ของสหภาพยุโรป หมายเลข 1005/2008 (Council Regulation No. 1005/2008) ซึ่งเปิดทางให้มีการออก “ใบเหลือง” หรือ “ใบแดง” และอาจนำไปสู่การห้ามนำเข้าสินค้าประมงจากไทยเข้าสู่ตลาดยุโรป หากสหภาพยุโรปเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงกฎหมายของไทยส่งผลกระทบต่อมาตรการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายจริง
การประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของสหภาพยุโรปสะท้อนถึงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลไทยอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการที่เคยเข้มงวด เช่น การลดทอนบทลงโทษต่อผู้กระทำผิดกฎหมาย IUU หรือ การปรับเปลี่ยนระบบควบคุมให้หละหลวม
ดอมินิก ทอมสัน ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคเอเชียอุษาคเนย์ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) กล่าวว่าการตอบกระทู้ของคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า หากร่างกฎหมายการประมงเป็นไปในทิศทางถอยหลังจะไม่เป็นที่ยอมรับของสหภาพยุโรป รัฐบาลไทยและกลไลนิติบัญญัติควรรับฟังการแสดงท่าทีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโอกาสสุดท้ายในการยุติมาตราที่สุ่มเสี่ยงต่อสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อมในร่างพ.ร.บ.ประมง กำลังจะมาถึงในวันที่ 12 มีนาคม เหนือสิ่งอื่นใดไทยควรจะพิจารณาคงไว้ซึ่งบทลงโทษกรณีประมง IUU ให้เข้มแข็งและเด็ดขาด เพื่อป้องกันการกระทำความผิดร้ายแรงในอุตสาหกรรมประมง หากบทลงโทษนี้หละหลวมเกินกว่าจะหยุดการทำประมงผิดกฎหมายได้ร่าง พ.ร.บ.ประมงไทยฉบับสุดท้ายคงไม่ต่างอะไรกับกระดาษเปล่า
นอกจากข้อกังวลด้านการทำประมงผิดกฎหมายแล้ว สหภาพยุโรปยังให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมงไทยด้วย โดยระบุว่า สหภาพยุโรปมีอำนาจในการใช้กฎหมายแรงงานบังคับเพื่อสั่งห้ามและนำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาดเดียวของสหภาพยุโรป หากพบว่ามีการใช้แรงงานบังคับในการผลิตสินค้าสหภาพยุโรปสามารถใช้ข้อบังคับเรื่องแรงงานบังคับ (Forced Labour Regulation) ซึ่งอนุญาตให้ดำเนินมาตรการ เช่น
- ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับ
- นำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาดเดียว (single market) ของสหภาพยุโรปหากพบหลักฐานที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมประมงไทยมีการใช้แรงงานบังคับ
ทั้งนี้สหภาพยุโรปกำลังดำเนินการใช้ “คำสั่งเกี่ยวกับการตรวจสอบด้านความยั่งยืนขององค์กร” (Corporate Sustainability Due Diligence Directive – CSDDD) ซึ่งกำหนดให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในยุโรปต้องมีมาตรการเพื่อลดผลกระทบด้านลบในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง ไม่เพียงแต่ห่วงโซ่อุปทานในยุโรปเท่านั้น แต่รวมถึงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์จากไทยอาจต้องแสดงความรับผิดชอบ หากพบว่าห่วงโซ่อุปทานของพวกเขาเกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับหรือการละเมิดสิทธิแรงงาน
ในขณะที่ไทยและสหภาพยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่า ในรอบการเจรจาที่ผ่านมายังไม่มีการหารือเฉพาะเกี่ยวกับสินค้าประมงไทย อย่างไรก็ตาม การเจรจาในประเด็นนี้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และจะมีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการประเมินผลกระทบด้านความยั่งยืน (Sustainability Impact Assessment) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น
รายงานการประเมินดังกล่าวจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของการเจรจาเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปซึ่งกำลังจะจัดวงเจรจารอบที่ 5 สิ้นเดือนนี้ ระหว่าง 31 มี.ค.-4 เม.ย. 68
การที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับกฎระเบียบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมประมงไทย อาจส่งผลต่อกระบวนการเจรจา FTA หมายความว่า ไทยต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าที่สำคัญของตนให้ได้ ว่าสินค้าของประเทศไทยสอดคล้องกับมาตรฐานที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป มิฉะนั้นอาจนำไปสู่การเผชิญอุปสรรคทางการค้าในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขร่าง พ.ร.บ. ประมง ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. … ชั้น สว. ด้วยคะแนนเสียงของที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบให้แก้ไข ร่างกฎหมาย 141 เสียง ไม่เห็นชอบ 3 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง
ในประเด็นที่ถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้างอย่างมาตรา 69 ที่ประชุม สว. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ กรรมาธิการวิสามัญฯ เสียงข้างมาก ให้คงมาตรา 69 ตามร่างเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดยห้ามใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืน เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งมติครั้งนี้สวนทางกับมติของสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับมาตรา 66 เรื่องการจับสัตว์น้ำเลี้ยงลูกด้วยนม ที่ประชุม สว. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ กรรมาธิการวิสามัญฯ เสียงข้างมาก ให้ตัดมาตรา 69 วงเว็บ 2 ที่ผ่อนปรนกรณีที่มีการติดอวนขึ้นมาโดยไม่เจตนา ให้รีบปล่อยสัตว์น้ำนั้นคืนสู่ท้องทะเลโดยเร็ว ซึ่งมติดังกล่าวนั้นก็สวนทางกับมติของสภาผู้แทนราษฎรเช่นเดียวกัน
เนื่องจากวุฒิสภามีมติให้แก้ไขร่างที่เคยผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ร่างกฎหมายยังไม่สามารถประกาศใช้ได้ทันที และต้องส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อ โดยคาดการณ์ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จะดำเนินการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568
ขณะเดียวกัน 3 มาตราสำคัญที่เป็นข้อกังวลของหลายภาคส่วน ยังคงค้างการพิจารณาอยู่ ได้แก่
- มาตรา 10/1-11/1: การละเลยหรือเปลี่ยนแปลงข้อบทนี้ จะเป็นการลดทอนการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและแรงงานเด็กในสถานประกอบการแปรรูปสัตว์น้ำ
- มาตรา 85/1: การเปลี่ยนแปลงข้อบทที่เกี่ยวกับการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเล จะสร้างความท้าทายในการตรวจสอบย้อนกลับที่มาของสัตว์น้ำ
- มาตรา 114: การเพิกถอนสถานะความผิดร้ายแรงสำหรับการกระทำผิดด้านการประมง IUU บางประการและปรับลดโทษปรับลง 50% – 97% ในหลายความผิด
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ILO จี้ไทยส่งรายงาน คุ้มครองแรงงานประมง