ก่อนหน้านี้ ILO ได้ตั้งคำถามต่อกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับ การคุ้มครองสิทธิแรงงานประมงในไทยไว้เมื่อปี พ.ศ. 2564 โดย มีกำหนดต้องให้คำตอบภายในเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2567 แต่กระทรวงแรงงานกลับไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการทวงถามจาก ILO
ไทยล่าช้าส่งรายงานคุ้มครองแรงงานประมง
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุวัติอนุสัญญาและข้อเสนอแนะ (Committee of Experts on the Application of Conventions and Recommendations: CEACR) ประจำองค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (International Labour Organisation: ILO) ได้ออกรายงานการใช้มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศประจำปี พ.ศ. 2568 ในฐานะเอกสารที่ทุกชาติสมาชิกทั้ง 187 ประเทศจะยึดถือเป็นแนวทางในระหว่างการหารือการประชุมแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference) ครั้งที่ 113 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 13 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในรายงานฉบับนี้คือ การเปิดเผยรายชื่อกลุ่มประเทศที่ล่าช้าในการส่งรายงานตามภาระผูกพันหลังจากการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับหนึ่งฉบับใดของ ILO ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการขัดอนุสัญญา ในส่วนของประเทศไทย ILO ได้แสดงความกังวลต่อความล่าช้าของไทยในการส่งรายงานเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเป็นภาระผูกพันเนื่องจากประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง พ.ศ. 2550 (2007) ไว้เมื่อ พ.ศ. 2562
เหตุที่ประเทศไทยต้องส่งรายงานดังกล่าว สืบเนื่องจาก ในปี พ.ศ. 2564 ILO ได้ตั้งคำถามต่อกระทรวงแรงงานของไทยเกี่ยวกับประเด็นการคุ้มครองสิทธิแรงงานประมง และกำหนดให้รัฐบาลไทยต้องจัดส่งรายงานตอบกลับภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 แต่กระทรวงแรงงานไทยยังไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้ ILO ต้องทวงถามความคืบหน้าอย่างเป็นทางการในรายงานปีนี้
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญฯได้ส่งคำร้องขอโดยตรง (direct requests) มายังรัฐบาลไทย เพื่อขอคำอธิบายในประเด็นการคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานไทยในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบจึง ได้นำเสนอประเด็นดังกล่าวเข้าคณะทำงานประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการส่งรายงานคำอธิบายกลับไปยัง ILO
ประเด็นปัญหาที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญถามมายังรัฐบาลไทยแต่กลับได้รับการเพิกเฉยได้แก่
– การสรรหาแรงงานโดยนายหน้าที่ไม่มีใบอนุญาต ทำให้เกิดค่าสรรหาแรงงานที่มีราคาสูงกลายเป็นภาระของลูกเรือจนอาจนำไปสู่สภาวะแรงงานขัดหนี้ (Debt bondage) แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 จะระบุไว้ชัดเจนว่า ค่าสรรหาแรงงานนั้นห้ามถูกเรียกเก็บจากลูกจ้าง แต่ ทางปฏิบัติกลับเป็นในทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ แม้ พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะระบุว่าค่าใช้จ่ายรายการใดบ้างที่ผู้ว่าจ้างสามารถเรียกเก็บได้ และสามารถเก็บได้ในอัตราเท่าไร แต่ในทางปฏิบัติก็พบการเรียกเก็บที่สูงเกินจริง
– ค่าจ้างที่ได้รับจริงต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศกำหนดในจังหวัดนั้น ๆ และยังคงพบการยึดค่าจ้างของลูกเรือในหลายพื้นที่ ในบางพื้นที่ก็ไม่ได้ชำระค่าจ้างแก่แรงงานประมงเป็นรายเดือน
– สัญญาจ้างงานของลูกเรือถูกยึดภายหลังการเริ่มงาน และถูกนำแสดงต่อเจ้าพนักงานเฉพาะเมื่อถูกเรียกตรวจเท่านั้น ลูกเรือซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติจึงอาจไม่ทราบสิทธิของตนตามที่สัญญาจ้างตามแบบประกาศกำหนดมีรายงานว่า ลูกเรือตกน้ำสูญหายและประสบอุบัติจากการทำงานเป็นจำนวนมาก
– แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกประกาศให้ลูกเรือสามารถเลือกเข้ากองทุนประกันสังคมหรือประกันเอกชนที่เทียบเท่าได้ แต่กลับไม่มีกลไกตรวจสอบการเข้าถึงสิทธิ์ดังกล่าว ทำให้เรือลูกจำนวนมากไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมตามมาตรฐานกองทุนประกันสังคม
– พบว่ามีการยกเว้น (Exclusions) ไม่บังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 กับเรือประมงบางประเภท
– มาตรฐานการตรวจร่างกายลูกเรือและการออกใบรับรองแพทย์ยังไม่เป็นไปตามอนุสัญญา
– ยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนต่อข้อกำหนดจำนวนลูกเรือในเรือแต่ละประเภทและขนาด รวมถึงเวลาพักผ่อนที่เหมาะสม มีรายงานว่า ลูกเรือพักผ่อนไม่เพียงพอจนนำไปสู่อุบัติเหตุจำนวนมาก
– ข้อกำหนดบัญชีรายชื่อลูกเรือตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติมยังไม่ครอบคลุมเรือทุกประเภท
เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) และเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติได้ออกรายงานสรุปภาพรวมปัญหาจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 โดยแบ่งปัญหาที่พบเป็นสามลักษณะ ได้แก่
- ปัญหาจากข้อกฎหมายในกฎหมายหลักหรือกฎหมายลำดับรอง
- ปัญหาจากการบังคับใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ
- ปัญหาในการอนุวัติการอนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 (2007) ซึ่งกฎหมายหรือแนวปฏิบัติบางเรื่องของประเทศไทยนั้น ยังไม่สอดคล้องกับเนื้อหาในอนุสัญญาฉบับดังกล่าว
ไทยเพิกเฉยคำขอ ILO
ทั้งนี้ความล่าช้าดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากการคุ้มครองสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมง ถือเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและประชาคมโลกมาโดยตลอด อุตสาหกรรมประมงของไทยเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในอดีตเกี่ยวกับการใช้แรงงานบังคับและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งนำไปสู่การกดดันจากสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา ให้ไทยปรับปรุงมาตรฐานแรงงาน
“คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสังเกตด้วยความกังวลว่า ยังมีความคิดเห็นที่ยังไม่ได้รับคำตอบอยู่เป็นจำนวนมาก คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ความยึดมั่นในหลักการของสมาชิก ILO ที่จะนำเอาอนุสัญญาไปปรับใช้ผ่านการเจรจาหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลนั้นลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องมาจากความล้มเหลวของรัฐบาลในการปฏิบัติตามภาระผูกพันในอนุสัญญาที่ตนได้ให้สัตยาบันไว้ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเร่งเรียกร้องให้ประเทศที่เกี่ยวข้องนำส่งข้อมูลทั้งหมดที่ถูกร้องขอ และขอให้ประเทศเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลือทางเทคนิคของสำนักงานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้”
ILO ยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมีมาตรการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ในอุตสาหกรรมประมงให้มากขึ้น รวมถึงการกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ปลอดภัย และปราศจากการบังคับใช้แรงงาน
อุตสาหกรรมประมงไทยมีการจ้างงานแรงงานข้ามชาติเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา และลาว แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีความพยายามปรับปรุงนโยบายและเพิ่มมาตรการตรวจสอบแรงงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงพบปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างต่อเนื่อง
การขาดส่งรายงานต่อ ILO ในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดข้อกังวลว่า ไทยอาจไม่สามารถรักษามาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิแรงงานในการพิจารณาข้อตกลงทางการค้า
การประชุมแรงงานระหว่างประเทศครั้งที่ 113 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ คาดว่าจะเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศไทยต้องชี้แจงถึงแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานแรงงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดสากล ซึ่งอาจมีผลต่อการพิจารณาสถานะของไทยในด้านแรงงานในเวทีระหว่างประเทศต่อไป
ความพยายามและข้อเรียกร้องของ ILO
ILO ได้รับทราบถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการเพิ่มมาตรการตรวจสอบแรงงานบนเรือประมง ซึ่งรวมถึง การเพิ่มจำนวนการตรวจแรงงานกลางทะเล และการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานของลูกเรือประมง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ ILO ยังคงมีข้อกังวลว่ามาตรการดังกล่าวอาจยังไม่เพียงพอในการป้องกันและขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้แรงงานบังคับและแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมง
รายงานของ ILO ระบุว่า แม้จะมีความคืบหน้าด้านการกำกับดูแล แต่อุตสาหกรรมประมงไทยยังคงมีความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิแรงงานในหลายประเด็น อาทิ ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินกฎหมายกำหนด การบังคับใช้แรงงานผ่านกลไกหนี้สินที่อาจเข้าข่ายสภาวะแรงงานขัดหนี้ และการขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการร้องเรียนหรือเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับแรงงานข้ามชาติที่อาจเผชิญกับการละเมิดสิทธิ ด้วยเหตุนี้ ILO จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองแรงงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น ตลอดจนการดำเนินนโยบายที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานทุกคนในภาคประมงได้รับการคุ้มครองจากการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญยังขอให้รัฐบาลไทยส่งข้อมูลสถิติที่ชัดเจนและครบถ้วนเกี่ยวกับการตรวจสอบที่ดำเนินการบนเรือประมง รวมถึงจำนวนกรณีการละเมิดสิทธิแรงงานที่ตรวจพบ มาตรการลงโทษผู้กระทำผิด และแนวทางการเยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ข้อมูลเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการประเมินผลกระทบของนโยบายปัจจุบัน และช่วยให้สามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
มาตรการคุ้มครองแรงงานถอยหลังในร่าง พ.ร.บ. ประมง
เป็นที่น่าสังเกตว่าการทวงถามของ ILO ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ซึ่งสิทธิ แรงงานก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. ประมงกำลังอยู่ในขั้นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. …. ชั้นวุฒิสภา ซึ่งล่าสุดมีมติให้ยกเลิกมาตรการคุ้มครองแรงงานในภาคการแปรรูปอาหารทะเล (มาตรา 10/1, 11, 11/1) แล้ว และคณะกรรมาธิการฯ ยังได้ลงมติยกเลิกบทบัญญัติสำคัญสามมาตราที่เกี่ยวข้องกับภาคการแปรรูปอาหารทะเลทั้งหมดออกจากพระราชบัญญัติการประมงฉบับใหม่ด้วย
มติยกเลิกบทบัญญัติทั้งคู่นี้นับเป็นการตัดสินใจที่สร้างความเสี่ยงต่อการคุ้มครองแรงงานอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นการขจัดแรงงานเด็กในโรงงานแปรรูปกุ้ง สวนทางกับความก้าวหน้าของสินค้ากุ้งไทยที่เพิ่งจะถูกถอดออกจากบัญชีเฝ้าระวังของสหรัฐฯ ว่าด้วยสินค้าที่เชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็กเมื่อไม่นานนี้
มาตรา 10/1, 11 และ 11/1 ของพระราชกำหนดมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองสิทธิของแรงงาน โดยได้กำหนดมาตรฐานสูงเพื่อคุ้มครองผู้ใช้แรงงานในธุรกิจการแปรรูป
● มาตรา 10/1 กำหนดให้ออกใบอนุญาตและกำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้ประกอบการแปรรูปอาหารทะเล การยกเลิกบทบัญญัติข้อนี้จะทำให้มาตรฐานเหล่านี้ผ่อนปรนลง เปิดช่องให้ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงเกณฑ์ด้านความปลอดภัย แรงงาน และจริยธรรมที่เข้มงวดได้ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการหลบเลี่ยงกฎหมายและการเอารัดเอาเปรียบในอุตสาหกรรมนี้ได้
● มาตรา 11 ห้ามผู้ประกอบการโรงงานจ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกพักกิจการและได้รับโทษเพิ่มขึ้น รวมถึงถูกสั่งปิดโรงงานในกรณีที่กระทำความผิดซ้ำ
● มาตรา 11/1 กำหนดบทลงโทษสำหรับการละเมิดการคุ้มครองแรงงานเด็ก โดยเฉพาะการละเมิดข้อกำหนดอายุขั้นต่ำของแรงงานและการเรียกเก็บเงินประกันที่ผิดกฎหมาย โดยสามารถสั่งระงับหรือปิดกิจการในกรณีที่กระทำผิดซ้ำ
ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ
การที่ไทยไม่ส่งรายงานดังกล่าวอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ ในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเจรจาทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ เช่น สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงานและสิทธิมนุษยชน หากไทยไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาแรงงานบังคับ อาจนำไปสู่มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การจำกัดการนำเข้าสินค้าประมงจากไทย
นอกเหนือจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการของภาครัฐ ประเทศผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เช่น ผู้ค้าปลีกและแบรนด์อาหารทะเลระดับโลก กำลังให้ความสำคัญกับหลักการความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม มากขึ้น บริษัทเหล่านี้มักจะกำหนดมาตรฐานแรงงานที่เข้มงวดสำหรับห่วงโซ่อุปทานของตน และอาจตัดสินใจลดหรือยุติการจัดซื้อสินค้าจากประเทศที่ไม่สามารถรับรองมาตรฐานแรงงานได้ ตัวอย่างเช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในยุโรปและสหรัฐฯ หลายแห่งได้ออกนโยบายเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารทะเลจากแหล่งที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับ หากไทยไม่สามารถให้หลักฐานที่เพียงพอเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองแรงงาน อาจเผชิญกับการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ซื้อรายใหญ่ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าประมงต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าอย่างรุนแรง
การเรียกร้องของ ILO ต่อรัฐบาลไทยสะท้อนถึงแรงกดดันระหว่างประเทศที่ต้องการให้ไทยปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานที่เป็นธรรมและยั่งยืนในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ การดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องนี้จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ และทำให้แรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รับสิทธิและสวัสดิการที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานแรงงานเป็นไปตามหลักสากล การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการตรวจสอบแรงงานและการละเมิดที่พบจะช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาคมโลก และลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกมาตรการกีดกันทางการค้าจากนานาประเทศ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
ประมงเสี่ยงเจอ IUU หลังเลิกคุ้มครองแรงงาน-ใช้อวนตาถี่