ThaiPBS Logo

สารบัญประกอบ

    ชีวิตและความตาย สิทธิที่กำหนดได้ด้วยตนเอง

    10 ก.พ. 256811:04 น.
    ชีวิตและความตาย สิทธิที่กำหนดได้ด้วยตนเอง

    สารบัญประกอบ

      ชีวิตและความตาย คนเรานั้นควรมีชีวิตแบบที่เรียกว่า “อยู่ก็สบาย ตายก็เป็นสุข” แต่จะตายอย่างเป็นสุขได้ก็ต้องมีการเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ยังไม่ตาย เช่นเดียวกับการมีชีวิตที่สุขสบายซึ่งก็ต้องมีการเตรียมตัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ การเตรียมเพื่อการตายที่เป็นสุข จำเป็นต้องทำตั้งแต่ก่อนตายเมื่อชีวิตและร่างกายยังแข็งแรง

      นั่นคือต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องรอจนถึงใกล้วันตาย

      ประเทศไทยเรามีกฎหมายฉบับเดียวที่บัญญัติเรื่องสิทธิในการแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ตัดสินใจในการไม่รับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต  ซึ่งปรากฏอยู่ในมาตรา 12  พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หรือเรียกว่า Living will

      สิทธิในการแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามบทบัญญัติของกฎหมาย มาตรา 12  นั้น มีเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะให้บุคคลใช้สิทธิแสดงความจำนงไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่ยังมีสุขภาพปกติดีอยู่ หรือหากไม่ได้ทำไว้ล่วงหน้าเช่นนั้นจะทำเมื่อเริ่มเจ็บป่วยแต่ยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ก็ได้ โดยแสดงเจตจำนงไว้ว่า หากถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและไม่มีทางรักษาให้หายได้แล้ว จะขอปฏิเสธวิธีการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายออกไปเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ การตาย ของตนเป็นการตายที่ไม่ฝืนธรรมชาติ เป็นการตายที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

      สิทธิการตาย

      หนังสือแสดงความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต หรือ Living Will  ตามมาตรา 12 พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550  เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงและจะต้องเตรียมการจัดทำไว้ล่วงหน้าเพื่อให้วาระสุดท้ายของชีวิตได้รับการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งยังเป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารการแสดงเจตนาความต้องการเลือกวิธีการรักษาเมื่อถึงระยะสุดท้ายของชีวิต

      แต่ทั้งนี้แล้วในการเขียนหนังสือแสดงเจตนาไว้ไม่ใช่เป็นการปล่อยปละละเลยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตไปโดยไม่ได้รับการดูแลรักษาอันสมควร หรือปล่อยให้ตายไปอย่างทุกข์ทรมาน แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและแพทย์ผู้รักษา รวมทั้งญาติผู้ป่วยด้วย  ร่วมมือกันทำตามความประสงค์ของผู้ป่วยที่ได้แสดงเป็นลายลักษณ์อักษรไว้แล้ว โดยมีความเข้าใจตรงกันว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขาจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนด้วยการใช้วิธีการรักษาแบบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่อาจจะยืดลมหายใจได้ชั่วเวลาไม่นาน หรืออาจบรรเทาความทรมานจากการเจ็บป่วยได้เพียงเวลาอันสั้น

      อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องการ และต้องได้รับการดูแลรักษาแบบประคับประคอง (palliative care) เพื่อให้มีโอกาสได้เตรียมตัวเตรียมใจให้ความตายซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และได้จากไปอย่างสงบ ตามหลักการของการดูแลรักษาแบบประคับประคอง  ที่มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดและอาจคุกคามถึงชีวิต หรือป่วยด้วยโรคที่มีแนวโน้มทรุดลงจนเสียชีวิตจากตัวโรคในอนาคต โดยมุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวม ครอบคลุมมิติทั้งกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณของทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ที่จะทำให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนการดูแลครอบครัวและญาติภายหลังการจากไปของผู้ป่วย

      กฎหมายบัญญัติสิทธิของประชาชนตามมาตรา 12 นั้น ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาความชอบของเนื้อหาแล้ว ในปี พ.ศ.2558  ว่าเป็นสารัตถะเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายที่บุคคลพึงมี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้การรับรองไว้   การที่บุคคลแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ มีผลทำให้แพทย์ต้องเคารพการตัดสินใจดังกล่าว ในกรณีนี้ไม่ใช้สิทธิเลือกที่จะไม่มีชีวิตอยู่ แต่เป็นสิทธิในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาลเพื่อที่จะได้ตายตามธรรมชาติ

      โดยกฎกระทรวงไม่ใช่การปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยงดเว้นไม่ให้การรักษา หรือการใช้ยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิต และการปฏิบัติตามกฎกระทรวงไม่มีความผิดฐานทอดทิ้งผู้ป่วยตามประมวลกฎหมายอาญา  เนื่องจากแพทย์ยังให้การดูแลแบบประคับประคอง และหากผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาจะระบุในหนังสือแสดงเจตนาให้งดเว้นการรักษา หรือใช้ยาและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิตที่ไม่ใช่วาระสุดท้าย (เร่งการตาย) แพทย์ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ หากปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว แพทย์จะใช้มาตรา 12 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มายกเว้นความผิดของตนเองไม่ได้

      จะเห็นว่า ศาลปกครองได้พิจารณาและยืนยันว่า Living Will ไม่ใช่การุณยฆาต แต่เป็นการเคารพสิทธิของผู้ป่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายและชีวิตของตนเอง  สำหรับประเทศไทยนั้นปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายอนุญาตให้มีการทำการุณยฆาตได้ โดยเท่าที่ผ่านมามีแนวคิดที่ต้องการให้มีกฎหมายการุณยฆาตขึ้นในประเทศไทย โดยอ้างว่าเนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคนที่ต้องการที่จะยุติชีวิตตนเองได้ รวมทั้งมีกลุ่มผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคบางประเภทที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และผู้ป่วยจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย การยุติชีวิตจึงเป็นทางออกสุดท้ายเพื่อให้ผู้ป่วยหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน

      จากการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้ในการยื้อชีวิตผู้ป่วยออกไปจนส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เพราะเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ส่งผลให้ในสังคมตะวันตกเกิดการตั้งคำถามถึงศักดิ์ศรีในชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่ควรต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ในการยื้อชีวิต จึงเป็นที่มาของการมีกฎหมายที่อนุญาตให้ยุติชีวิตผู้ป่วยได้

      ประเทศที่เป็นผู้นำในเรื่องกฎหมายอนุญาตให้ยุติชีวิตผู้ป่วย คือ สหรัฐอเมริกา  และหลายประเทศก็ได้นำเนื้อหาของกฎหมายนี้ไปเป็นแม่แบบในการออกฎหมายในประเทศตนเองต่อมา  ได้แก่ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สวิสเซอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก

      ในประเทศที่มีฎหมายอนุญาตให้การุณยฆาตได้นั้น จะต้องมีระบบการดูแลแบบประคับประคองที่เข้มแข็ง โดยกฎหมายจะบังคับให้บุคคลที่ต้องการการุณยฆาตต้องผ่านระบบการดูแลแบบประคับประคองก่อนเพื่อให้การดูแลแบบประคับประคองช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น  มีการกำหนดขั้นตอนการป้องกันการมาฆ่าตัวตายอย่างเข้มงวดมาก โดยกฎหมายจะทอดระยะเวลาขั้นต่ำเพื่อให้บุคคลที่ต้องการเข้าสู่กระบวนการได้คิดและไตร่ตรองให้รอบคอบ  รวมทั้งแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาจะสัมภาษณ์และเสนอทางเลือกในการรักษาแบบต่างๆ ให้แก่ผู้ป่วย เช่น การดูแลแบบประคับประคอง การให้มอร์ฟีนหรือกัญชาทางการแพทย์ เพื่อให้ความตายเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยได้รับ

      การตายตามธรรมชาติและการดูแลแบบประคับประคอง สอดคล้องกับหลักปฏิบัติของทุกศาสนา เนื่องจากโดยเนื้อแท้คือการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ใกล้ตายให้จากไปอย่างสงบ จากไปอย่างเข้าถึงแก่นความเชื่อและความศรัทธาที่หลักยึดการมีสติเตรียมพร้อมในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต

      ในทางศาสนาพุทธ ความตายเป็นเรื่องธรรมดาและถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป การมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตและมีจิตใจที่เตรียมรับช่วงเวลานี้มาอย่างดี คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เราได้ทำไว้ เราก็จะจากไปอย่างสงบ    แต่ในทางกลับกันหากเราไม่มีสติและมีจิตใจที่เศร้าหมอง  ก็จะทำให้ดวงจิตสุดท้ายเศร้าหมองไปด้วย

      สิ่งที่จะตามมา คือการตายอย่างไม่สงบ  ทางศาสนาคริสต์ ในวาระสุดท้ายของชีวิต การได้ระลึกถึงพระเจ้าและไม่หวาดหวั่นกับความตายที่เผชิญอยู่ต่อหน้า การตายโดยที่ไม่มีความแค้น แต่กลับตายไปพร้อมกับความรัก ทั้งความรักที่มีต่อพระเจ้าและความรักที่มีต่อมนุษย์คนอื่นๆ ถือว่าเป็นการตายดี  และความตายในมุมมองของศาสนาอิสลาม ความตายถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา การเตรียมพร้อมสำหรับความตายของคนมุสลิม ให้ทุกคนจะต้องประกอบคุณงามความดีและตั้งมั่นในธรรมในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิต

      นั่นคือการเตรียมพร้อมสู่ความตายคือการทำความดีอยู่ทุกขณะจิตนั่นเอง   สำหรับการเข้าสู่ความตายอย่างสงบนั้น เมื่อการดูแลรักษาทางการแพทย์ไม่สามารถช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้แล้ว ในส่วนของศาสนาอิสลามสามารถทำได้โดยการตั้งมั่นอยู่ในความอดทนอดกลั้น

      ในขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว  ตลอดจนมีผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง รุนแรงและรักษาไม่หายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสังคมในหลายมิติหากไม่มีการเตรียมการรับมือที่ดี โดยเฉพาะกับเรื่องการจัดการความตายที่ผูกพันกับคนที่ยังอยู่ เพราะนั่นหมายถึงผลกระทบที่มีต่อสถาบันครอบครัว ระบบสาธารณสุข งบประมาณ ฯลฯ  และประชาชนทั่วไปยังมีความกังวลว่าตนเองยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการเตรียมการในการดูแลในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตของตนเองที่กำลังจะมาถึง หรือนโยบายของรัฐที่ประชาชนยังมีความกังวลว่ายังไม่มีความพร้อมที่จะให้การดูแลประชากรที่อยู่ในวัยสูงอายุและช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตได้

      ดังนั้นประเทศไทยจึงควรพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีระบบการดูแลแบบประคับประคองให้ตอบสนองต่อการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายหรือผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยมุ่งเน้นสนับสนุนให้เกิดระบบการดูแลแบบประคับประคองในชุมชน (community base care) โดยมีการบูรณาการภาคส่วนต่างๆของสังคม ทั้งภาครัฐ องค์กรวิชาชีพด้านสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรศาสนา องค์กรภายนอกระบบบริการสุขภาพ   ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับองค์กรด้านสุขภาพ  เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานในทุกมิติแบบองค์รวม

      ในฝั่งประชาชนก็ควรมียุทธศาสตร์เชิงรุกในการสร้างกระแสสังคม ให้เกิดการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้าง ในเรื่องการเตรียมความพร้อมและวางแผนการดูแลตนเองในทุกช่วงวัยผ่านการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (Advance care plan) และการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการ ทั้งในส่วนองค์ความรู้  กำลังคน ระบบการเงินการคลัง เทคโนโลยีและนวัตกรรม  เพื่อสนับสนุนการจัดระบบบริการให้มีความพร้อมและเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดระบบสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิตและการตายดี

      ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาฯ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Living Will) ขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางให้ประชาชนสามารถจัดทำและเข้าถึงข้อมูลการแสดงเจตนาฯ ได้อย่างรวดเร็ว สะดวก ซึ่งข้อมูลจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลางที่มีระบบความปลอดภัย และเพื่อให้สถานพยาบาลทุกแห่งที่เข้าลงทะเบียนใช้งานในระบบสามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และใช้ประโยชน์ร่วมกันได้

      บุคลากรด้านสาธารณสุขของสถานพยาบาลสามารถเรียกดูและค้นหาหนังสือแสดงเจตนาที่ประชาชนทำไว้และให้บริการรักษาตามที่ได้แสดงเจตนาไว้  ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลแบบประคับประคองอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์   โดยสามารถจัดทำได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์  https://e-livingwill.nationalhealth.or.th/ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2562

      เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

      หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการการุณยฆาตผู้ป่วย
      รู้จักหนังสือแสดงเจตนา (e-Living Will) ทำไมจึงสำคัญ
      6 ข้อเสนอ สู่ ‘สิทธิการตายดี’

      นโยบายที่เกี่ยวข้อง

      ตายดี (ชีวาภิบาล)

      "ตายดี" คือ การจากไปอย่างสงบ สบาย และสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขต่อยอดเป็น "นโยบายสถานชีวาภิบาล" เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ต้องการดูแลแบบพึ่งพา ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง โดยครอบคลุมในทุกมิติ

      • 1
      • 2
      • 3
      • 4
      • 5

      ผู้เขียน: