การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทำให้ภัยพิบัติทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับ ประเทศไทย ขณะที่ความรุนแรงของภัยพิบัติมีผลกระทบขยายวงมากขึ้น จนเกิด “ภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต”ที่กลไกลการรับมือแบบเดิมอาจจะไม่สามารถจัดการได้
“วิกฤตซ้อนวิกฤต” (Poly crisis ) จึงเป็นโจทย์ใหม่ของการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ครั้งที่ 18 จึงได้มีมติรับรอง ประเด็นรายงาน “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะ และการปฏิบัติจริงในพื้นที่ชุมชนเพื่อรับมือได้ทันที
วิกฤตซ้อนวิกฤต คืออะไร?
ความยากในการบริหารจัดการวิกฤตในสถานการณ์ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปทั้งเรื่อง ภัยพิบัติ ที่รุนแรงและถี่มากขึ้น รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ กรณีไทย กัมพูชา หรือ วิกฤต โรคระบาด ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้น มักจะไม่ใช่เพียงแค่วิกฤตเดี่ยว
“วิกฤตซ้อนวิกฤต” (Poly crisis ) จึงหมายถึง สถานการณ์ที่วิกฤตหลายด้านเกิดขึ้นพร้อมกันหรือ เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง สุขภาพ ซึ่งมีผลกระทบต่อกันจนทำให้ความรุนแรงของแต่ละวิกฤตทวีมากขึ้น ยากต่อการบริหารจัดการแบบแยกส่วน เพราะการแก้วิกฤตหนึ่งอาจจะไปกระทบวิกฤตหนึ่งได้
พญ.ประนอม คำเที่ยง ประธานคณะทำงาน ข้อเสนอการพัฒนานโยบายสาธารณะ ประเด็นที่ 4 ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต ของ สช. บอกว่า การบริหารจัดการวิกฤตซ้อนวิกฤต ถือเป็นประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นมา หลังจากที่เราพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เกิดซ้อนๆกัน ทั้ง วิกฤติน้ำท่วม โควิด ซึ่งในวิกฤติหนึ่งจะมีอีกวิกฤติเกิดขึ้นเสมอ กระทั่งเราพบว่าไม่มีอะไรเป็นวิกฤตเดียว
เช่น กรณีไทย กัมพูชา ทีมลงพื้นที่ ไปดูเหตุการณ์ เพื่อดูว่าสิงที่เราเตียมการ ก่อนเกิดเหตุ ช่วงเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ การสนับสนุน และการสื่อสารเป็นอย่างไร มีข้อผิดพลาดและจะมีวิธีการอย่างไร เพื่อเป็นข้อเสนอในเชิงนโยบายปรับปรุงรับมือต่อไป
“พอเราลงพื้นที่ความตรึงเครียดชายแดน ก็มีเหตุการฯน้ำท่วมหาดใหญ่ โดยทั้งหมดมีวิกฤตซ้อนๆกันอยู่ที่ต้องอาศัยการจัดการทั้งก่อนวิกฤต ในช่วงวิกฤต และหลังวิกฤต “
ขณะที่ ผศ. ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต กล่าวว่า ที่ผ่านมามักจะมีคนพูดว่าประเทศไทยมีกลไก กฎระเบียบมากมาย แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกลับกลายมาเป็นอุปสรรคหรือใช้การไม่ได้จริง
ดังนั้นสมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ 18 จึงได้มุ่งเน้นผลักดันให้เกิดระบบการจัดการในภาวะวิกฤตที่แตกต่างไปจากที่มีอยู่เดิม โดยประเด็นแรกคือ ไม่ได้มองว่าเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตเชิงเดี่ยว แต่เป็นการมองในลักษณะวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) ซึ่งจะมีผลกระทบเกิดขึ้นแบบทวีคูณ ตัวอย่างเช่นสถานการณ์น้ำท่วมอาจไม่ใช่เรื่องของน้ำเพียงอย่างเดียว แต่งอาจเป็นความล้มเหลวในเชิงสถาบันทางการเมือง ทับซ้อนไปกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนทำให้กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้การประเมินหรือคาดการณ์ผิดพลาด
นอกจากนี้ระดับการจัดการดังกล่าว จะมุ่งเน้นระบบการจัดการที่เชื่อมโยงกัน อย่างเช่นหน่วยงานภาคีที่ไม่ได้มีแค่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แต่ยังมีภาคสาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนชุมชนท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งทำให้การทำงานจากที่แยกส่วนกันสามารถมาร่วมมือกันจนเกิดผลผลิตแบบใหม่
“ปลายทางของมตินี้ คือการมองแบบวิกฤตซ้อนวิกฤตจะช่วยให้คาดการณ์สถานการณ์ได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น นำไปสู่การบริหารจัดการที่ดีและลดผลกระทบ ที่สำคัญคือชุมชนสามารถจัดการตัวเองได้ในวิกฤตการณ์ ไม่ต้องรอการสั่งการหรือความช่วยเหลือจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่การบริหารจัดการต้องมีความยืดหยุ่นและยั่งยืนจาการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย”
รศ.ดร.ทัศนีย์ ศิลาวรรณ รองประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต บอกว่า ใช้เวลาในการพัฒนาประเด็นนี้ ทั้งประชุม ลงพื้นที่ ร่วมกันมากกวา หมื่นชั่วโมง โดยพัฒนาการมีส่วนร่วมทุกระดับทั้งระดับพื้นที่ ส่วนกลางควบคู่กันไป ในระดับนโยบายและปฏิบัติ
ประเด็นวิกฤตซ้อนวิกฤต จึงไม่ได้หมายถึงภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่หมายถึงความไม่สงบชายแดน เทคโนโลยี การหลอกหลวงออนไลน์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องการบริการจัดการแบบวิกฤตซ้อนวิกฤต ที่มีการบูรณาการปัญหาและการทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบนโยบายและสามารถปฏิบัติได้
“กฎหมายและนโยบาย” อะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง?
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “การสร้างระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต” ซึ่งช่วยในการกำหนดขอบเขตและกรอบการดำเนินงาน ประกอบด้วย
- พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ส่งเสริมให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ
- พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ถือเป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ และการฟื้นฟูหลังเกิดภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความเสี่ยง และความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากสาธารณภัย
- พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 สนับสนุนการควบคุมปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายหลักในวิกฤตด้านสุขภาพ ที่เน้นกลไกการประกาศโรคอันตรายและการดำเนินมาตรการควบคุมอย่างทันท่วงที พระราชบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งครอบคลุม องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
นอกจากนี้ มีกฎหมายหลายฉบับกำหนดอำนาจหน้าที่และกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อ ประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ รวมถึง การป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อและการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้วย
- พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดกรอบการดำเนินงานของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้มีความครอบคลุม เข้าถึงได้ และมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการดูแลผู้เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บในสถานการณ์ภัยพิบัติหรือวิกฤตสุขภาพอย่างทันท่วงทีและทั่วถึง
- พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 กำหนดให้มีการวิจัย พัฒนา ผลิต จัดหา และสำรองวัคซีนอย่างเพียงพอ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและภัยพิบัติ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการบริหารจัดการวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ “
- การสร้างระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต เป็นกรอบสำคัญในการผลักดันกลไกการจัดการสุขภาพในภาวะวิกฤตให้สอดคล้องกับบริบทและความท้าทายของสังคมไทย ประกอบด้วย นโยบายสาธารณสุขแห่งชาติมุ่งเน้นการพัฒนาระบบสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งด้านการส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟู และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงสนับสนุนกลไกการตอบสนองในภาวะฉุกเฉินและการประสานงานข้ามหน่วยงานอย่างเป็นระบบ นโยบายความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งชาติให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤตต่าง ๆ
โดยเน้นการจัดบริการสุขภาพที่ต่อเนื่องไม่สะดุดแม้ในสถานการณ์ไม่ปกติ นโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติมุ่งเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งในด้านการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการฟื้นฟูให้ดีกว่าและปลอดภัยกว่าเดิมยุทธศาสตร์ระดับชาติและกระทรวงสาธารณสุขเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถของประเทศ
ใน “การบริหารจัดการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน” ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑– ๒๕๘๐) ได้กำหนดเป้าหมายด้านความมั่นคงผ่านการบริหารภัยพิบัติอย่างบูรณาการ และด้านสาธารณสุขที่เน้น ระบบบริการสุขภาพที่ครอบคลุม เข้าถึงได้
และมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan) ของกระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้เขตสุขภาพมีระบบตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมหลายระดับ พร้อมกลไกเฉพาะ อาทิเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงการดำเนินงานกับภาคประชาชนอย่างใกล้ชิด
แผนที่เกี่ยวข้องกับ “การสร้างระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต” เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ประกอบด้วย แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12(พ.ศ.2560– 2564) ได้กำหนดให้การเตรียมความพร้อมของระบบสุขภาพในภาวะวิกฤตเป็นเป้าหมายสำคัญพร้อมสนับสนุนการบูรณาการบริการสุขภาพในเขตภัยพิบัติ
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 ได้กำหนดกรอบแนวทางการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยของประเทศให้มีมาตรฐาน พร้อมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และสามารถเชื่อมโยงการปฏิบัติงานในทุกระดับ โดยที่ประชาชนมีองค์ความรู้ ภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันภัย เพื่อมุ่งสู่ “การรู้รับ – ปรับตัว – ฟื้นตัวเร็ว -อย่างยั่งยืน” (Resilience) แผนพัฒนาสาธารณสุขฉุกเฉินแห่งชาติเน้นการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ และภัยพิบัติด้านสุขภาพในทุกมิติอย่างครอบคลุม
แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ.2566 – 2570 มุ่งพัฒนาระบบเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข แผนพัฒนาท้องถิ่น ( 5 ปี และ 3 ปี) ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นและ สามารถระบุเนื้อหาเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับภัยพิบัติ การพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น
และการจัดการข้อมูลกลุ่มเปราะบางร่วมกับระบบเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แผนทั้งหมดนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: จะรับวิกฤตซ้อนวิกฤตกันอย่างไร?
การบริหารจัดการวิกฤตซ้อนวิกฤต จึงอาจจะเป็นโจทย์ใหม่ ในการบริหารจัดการวิกฤต โดยมี 3 ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ โดยสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้มีมติรับรอง ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต ตามกรอบทิศทางนโยบาย (Policy statement) ที่เสนอให้หน่วยงาน องค์กร และชุมชน ในพื้นที่ระดับอำเภอ เขตกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ร่วมกับหน่วยงานและองค์กรสนับสนุนระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร เขตสุขภาพ เขตปกครอง และหน่วยงาน
ส่วนกลางระดับประเทศ ให้ความสำคัญและร่วมกัน พัฒนา “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” ให้มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนเพื่อสุขภาวะของ ประชาชนและชุมชน ผ่าน
- การบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อป้องกัน บรรเทาผลกระทบ และเตรียมความพร้อมก่อน เกิดวิกฤต
- การบริหารจัดการที่รวดเร็วและมีเอกภาพเพื่อตอบโต้วิกฤต
- การบริหารจัดการฟื้นฟูอย่าง ยั่งยืนและถอดบทเรียนหลังเกิดวิกฤต
สำหรับการพิจารณาระเบียบวาระ “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” โดยภาคีเครือข่ายจากหลายภาคส่วนทั่วประเทศ ได้สะท้อนถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบบริหารจัดการภาวะวิกฤตที่ผ่านมา โดยเฉพาะบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญที่ต้องการให้มตินี้ถูกนำไปขับเคลื่อนได้จริง สามารถนำไปสร้างเป็นโมเดลความสำเร็จของระบบการจัดการภาวะวิกฤต เพื่อที่จะช่วยลดการสูญเสียหากเกิดเหตุการณ์ในอนาคต
ทั้งนี้ หลายภาคส่วนยังได้ร่วมแสดงความเห็นชอบถึงกลไกการจัดการตามข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการมีระบบข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงในทุกระดับ การสร้างความเข้มแข็งของระบบการจัดการในระดับพื้นที่ การสื่อสารข้อมูลและเตือนภัยที่เป็นระบบ พร้อมทั้งยังมีข้อเสนอที่ต้องการมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพจิตจากภาวะวิกฤต การพัฒนาสร้างคนที่มีทักษะความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ เป็นต้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




