สิ่งที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าแพร่ระบาดได้รวดเร็วคือ“กลยุทธ์การตลาด” ผู้ผลิตพัฒนาผลิตภัณฑ์จากรุ่นแรกที่เลียนแบบบุหรี่มวน สู่รุ่นที่ 5 หรือที่เรียกว่า Toy Pod มีสีสันสดใส กลิ่นกว่า 70,000 แบบ ตั้งแต่ผลไม้ ลูกอม ไปจนถึงเครื่องดื่มหวาน หัวใจสำคัญคือทำให้เยาวชนเข้าใจผิดว่าปลอดภัย
ขณะที่การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของไทย ยังขาดกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง แม้จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจาก 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย
ปัญหาของกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การที่ผู้ค้าสามารถอ้างว่าไม่มีนิโคตินในผลิตภัณฑ์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งขาดบทบัญญัติเรื่องการครอบครองโดยตรง และกลไกการป้องกัน ปราบปราม และ การควบคุมที่ยังขาดประสิทธิภาพอย่างมาก
ข้อมูลที่น่าสนใจคือผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่า 2 ใน 3 ซื้อมาจากแหล่งที่มีการโฆษณาและเสนอขายผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการควบคุมช่องทางการจำหน่ายในโลกดิจิทัล
การเพิ่มขึ้นของอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กไทยอายุ 13-15 ปี จาก 3.3% ในปี 2558 เป็น 17.6% ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่าในเวลาเพียง 7 ปี นับเป็นสัญญาณเตือนที่รัฐบาลและสังคมไทยต้องตื่นตัวและเร่งหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง
เด็กวัยรุ่น 5 คนจะมี 1 คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า
นายแพทย์วีระพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข คนที่หนึ่ง วุฒิสภา ได้นำเสนอข้อมูลที่เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหานี้อย่างชัดเจน สถิติที่น่าตกใจคือในปัจจุบันเด็กวัยรุ่น 5 คนจะมี 1 คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า และที่น่าประหลาดใจคือประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าหลายประเทศทั่วโลก แม้จะมีมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน รวมถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดของบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่สามารถเจาะตลาดเยาวชนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องดำเนินการผ่านช่องทางผิดกฎหมาย
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือความเข้าใจผิดของคนที่คิดว่า “บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน” ความจริงแล้ว นายแพทย์วีระพันธ์ ชี้ให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายมากกว่าและเสพติดได้ง่ายกว่าบุหรี่มวนมาก ด้วยเหตุผลหลายประการ
- บุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีมากกว่า 2,000 ชนิด ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดสามารถตรวจสอบสารเคมีเหล่านี้ได้ทั้งหมด ความไม่แน่นอนเรื่ององค์ประกอบทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง
- สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์เสพติดสูงกว่าแอลกอฮอล์ โคเคน และกัญชา ทำให้ผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าติดได้ง่ายและเลิกได้ยาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่สมองยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
- บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสาเหตุของโรคใหม่ที่เรียกว่า EVALI (E-cigarette or Vaping Associated Lung Injury) ซึ่งพบครั้งแรกในปี 2562 และทำให้ปอดเสียหายอย่างรุนแรงจนต้องตัดปอดทิ้งหรือเปลี่ยนปอดใหม่ ในประเทศไทยได้พบผู้ป่วย EVALI แล้วที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นเด็กอายุ 10 กว่าขวบที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเกือบตลอดชีวิต
กลยุทธ์การตลาดที่เล็งเป้าเยาวชน
การวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดของบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าเผยให้เห็นแผนการที่มีเป้าหมายชัดเจนในการดึงดูดเด็กและเยาวชน บุหรี่ไฟฟ้าได้มีการพัฒนาจาก Generation แรกที่คล้ายบุหรี่มวน มาจนถึง Generation ที่ 5 ที่เป็น “Toy Pod” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่มีลักษณะคล้ายของเล่น
ลักษณะเด่นของ Toy Pod ได้แก่ การออกแบบที่มีสีสันสดใส ดูน่ารักและไม่น่าอันตราย กลิ่นและรสชาติที่หลากหลายและน่าดึงดูดใจ ปัจจุบันมีกลิ่นบุหรี่ไฟฟ้ามากถึง 70,000 กลิ่น ตั้งแต่กลิ่นผลไม้ ขนม ไปจนถึงกลิ่นเครื่องดื่มที่เด็กคุ้นเคย
การออกแบบและกลยุทธ์การตลาดเหล่านี้ทำให้เยาวชนเข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ปลอดภัย การเข้าถึงก็ทำได้ง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย ร้านค้าออนไลน์ หรือแม้แต่เพื่อนรุ่นพี่ในสถานศึกษา นอกจากนี้ยังมีการสร้างค่านิยมว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นการแสดงออกถึงความทันสมัย ความเท่ห์ และความเป็นผู้ใหญ่
ความเสี่ยงใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นคือการพบบุหรี่ไฟฟ้าที่ปนเปื้อนสารเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งเป็นยาระงับปวดในกลุ่มโอปิออยด์ที่มีฤทธิ์รุนแรง นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยว่ามีรายงานการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมน้ำยาสารเฟนทานิลในต่างประเทศ
การสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ปนเปื้อนเฟนทานิลอาจก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ ผิวหนังเย็นชื้น ชัก และกดการหายใจ จนอาจเสียชีวิตได้ สารเฟนทานิลถูกกำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ตามกฎหมาย หากตรวจพบในบุหรี่ไฟฟ้าจะนำไปสู่การดำเนินคดีทางกฎหมายได้
เด็กอายุน้อยที่สุด 6 ปี เริ่มสูบพอต
การเปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือ “พอต” ของเด็กและเยาวชนไทย ปี 2568 โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 40,000 คนทั่วประเทศ ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า
- เยาวชนอายุ 19–25 ปี คือกลุ่มที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามากที่สุด (37.62%)
- รองลงมาคือวัยมัธยมปลาย (16–18 ปี26%) และมัธยมต้น (13–15 ปี 22.39%)
- ที่น่าตกใจคือยังพบผู้สูบอายุเพียง 7–12 ปี คิดเป็นกว่า 5.65% ของกลุ่มสำรวจ
อายุเฉลี่ยของผู้เริ่มสูบคือ 13.34 ปี ขณะที่อายุน้อยที่สุดเพียง 6 ปี—ยังอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สะท้อนว่า วงจรการใช้พอตได้ “ซึมลึก” ลงสู่ช่วงวัยที่ไม่ควรแม้แต่จะเข้าใกล้สารนิโคตินด้วยซ้ำ
หากเจาะลึกตามภูมิภาค พบว่าภาคเหนือมีสัดส่วนสูงสุด (23.87%) รองลงมาคือภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนความแตกต่างด้านวัฒนธรรมการบริโภคและช่องทางการเข้าถึงที่ไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่
เพื่อนชวน–สื่อออนไลน์ จูงใจเริ่มสูบ
ปัจจัยสำคัญที่สุดของการเริ่มสูบคือ “เพื่อนชวน” ซึ่งสูงถึง 45.56% นี่คือการตอกย้ำว่าแรงกดดันทางสังคมในกลุ่มเพื่อน (peer pressure) ยังคงทรงพลังในหมู่เยาวชน
อีกด้านหนึ่ง “สื่อออนไลน์” คือช่องทางการตลาดและการสร้างค่านิยมที่สำคัญ เด็กและเยาวชนกว่า 27% ยอมรับว่าเคยเห็นโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าบน Facebook และเกือบพอๆ กันบน TikTok สื่อเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการรับรู้ แต่ยังสร้าง “ภาพลักษณ์เชิงบวก” ที่เชื่อมโยงบุหรี่ไฟฟ้ากับความทันสมัย แฟชั่น และการเข้าสังคม
อย่างไรก็ตาม แม้กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (52.2%) ระบุว่ามีความรู้เกี่ยวกับโทษและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในระดับ “ไม่ดี–พอใช้” แต่ความรู้ดังกล่าวไม่ได้เพียงพอที่จะป้องกันการตัดสินใจลองสูบ
การประชุมของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา เผยให้เห็นถึงความท้าทายในการควบคุมสื่อออนไลน์ที่เป็นช่องทางสำคัญในการแพร่กระจายบุหรี่ไฟฟ้า
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ได้เน้นย้ำว่า “สื่อคือดาบสองคม” สามารถทั้งสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้เป็นช่องทางการตลาดที่ล่อหลอกเด็กก็ได้
ปัญหาในโลกดิจิทัลมีความซับซ้อน ผู้ค้าสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดและการหลบเลี่ยงได้อย่างรวดเร็ว การควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ยังมีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ
มาตรการรับมือและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางมาตรการรับมือหลายด้าน โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย 5 มาตรการ ได้แก่
- การพัฒนาและจัดการองค์ความรู้ เพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
- การสร้างการรับรู้โทษพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า แก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชนผ่านช่องทางต่างๆ
- การเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด
- การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย เพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกันควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
- การยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปราม** การแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า
ขณะที่ นายแพทย์วีระพันธ์ ได้เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก
- ด้านกฎหมาย รัฐบาลควรกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการหรือองค์กรระดับชาติเพื่อบูรณาการการทำงาน มีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามและสกัดกั้นการนำเข้า การใช้เทคโนโลยี AI เพื่อปิดกั้นช่องทางจำหน่ายออนไลน์ และควบคุมโฆษณา รีวิว รวมถึงห้าม Influencer และ Tiktoker ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเชิงส่งเสริม
- ด้านการศึกษา สถานศึกษาต้องสร้างความตระหนักรู้และค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
- ด้านมาตรการทางสังคม ต้องสนับสนุนให้ครอบครัวเป็นพื้นที่ต้นแบบปลอดควันบุหรี่ ร่วมกับการสร้างเครือข่ายต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าในทุกระดับ โดยเฉพาะการสนับสนุนการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ซึ่งมีจำนวนนับล้านคน
- ด้านสุขภาพและการบำบัดรักษา ต้องเร่งจัดตั้งหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการบำบัดรักษาและให้คำปรึกษา รวมทั้งขยายบริการให้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ และกำหนดมาตรการนำเด็กและเยาวชนที่เสพติดเข้าสู่การบำบัดรักษาอย่างเป็นระบบ
ขณะที่หลายหน่วยงานได้แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งเบาะแสการขายบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายปราบปรามอย่างจริงจัง มีตัวอย่างการปรับเป็นจำนวนเงินสูงถึง 90 ล้านบาท
กระทรวงวัฒนธรรมมีบทบาทในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากสื่อบันเทิงที่นำเสนอภาพการสูบบุหรี่ กรมประชาสัมพันธ์ได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ เช่น แคมเปญ “30 วันดีเดย์” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโทษของกฎหมายและอันตรายต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า
ยืนยันทิศทาง “แบนเด็ดขาด”บุหรี่ไฟฟ้า
ในเชิงนโยบาย รัฐบาลไทยยังยืนยันทิศทาง “แบนเด็ดขาด” แต่เมื่อดูจากข้อมูลการแพร่ระบาดในหมู่วัยรุ่นที่พุ่งขึ้นหลายเท่า ย่อมสะท้อนว่ามาตรการปัจจุบันยังไม่เพียงพอ
โจทย์ใหญ่ของประเทศจึงไม่ใช่เพียงการ “ห้าม” หรือ “จับ” แต่ต้องพัฒนาไปสู่การสร้าง สังคมที่ต้านทานการตลาดบุหรี่ไฟฟ้าได้เอง พร้อมกับการสร้างเยาวชนที่มีภูมิคุ้มกันและทางเลือกที่ดีกว่า
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง